โตเกียวโอลิมปิก อานิสงส์ต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีจำกัด แต่หากยกเลิกการจัดงาน จะมีต้นทุนที่ต้องแบกรับเพิ่มขึ้นอีก - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

โตเกียวโอลิมปิก อานิสงส์ต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีจำกัด แต่หากยกเลิกการจัดงาน จะมีต้นทุนที่ต้องแบกรับเพิ่มขึ้นอีก - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

24 ก.ค. 2021
งานมหกรรมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 32 ณ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น (Tokyo 2020 Olympics) กำหนดเดิมจัดขึ้นในปี 2563 แต่เลื่อนมาเป็นเวลา 1 ปี จนในที่สุดการแข่งขันจัดขึ้นในวันที่ 23 กรกฎาคม-8 สิงหาคม 2564
ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด ที่นับเป็นบทพิสูจน์ของญี่ปุ่นในการจัดงาน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โอลิมปิก
ซึ่งการได้เป็นเจ้าภาพในงานสำคัญระดับโลก ไม่เพียงช่วยโปรโมตประเทศ ยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้างรายได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังเช่นในอดีต ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปี ค.ศ.1964 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งการจัดงานในครั้งนั้น ส่วนหนึ่งสร้างรายได้เข้าประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก และญี่ปุ่นยังใช้การจัดงานเป็นประจักษ์พยานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จนสามารถผงาดขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ของโลก (รองจากสหรัฐฯ ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร) ภายในเวลาเพียง 4 ปี
การจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดในญี่ปุ่น ที่ยังมีผู้ติดเชื้อทะลุ 5,000 คนต่อวัน แต่แรงกดดันทางการเมือง ผลักดันให้รัฐบาลของนายโยชิฮิเดะ ซูกะ เดินหน้าจัดการแข่งขันขึ้นมาจนได้ โดยต้องจำกัดผู้เข้าร่วมงานเพื่อลดความเสี่ยงของโควิด
ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากชาวญี่ปุ่นกว่า 40% ที่ไม่ต้องการให้จัดเนื่องจากกลัวว่าโควิด จะยิ่งลุกลามหนักขึ้น ประกอบกับและแรงกดดันของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งถ้าหากนายซูกะ ไม่สามารถเดินหน้างานแข่งขันโอลิมปิกไปพร้อมกับการรับมือโควิดนี้ได้สำเร็จ
อาจยิ่งส่งผลต่อคะแนนนิยมเพื่อคว้าชัยในการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในสมัยถัดไปที่จะจัดในวันที่ 22 ตุลาคม 2564
การจัดงานโตเกียวโอลิมปิก นับว่ามีมูลค่าการลงทุนสูงในลำดับต้น ๆ ในประวัติศาสตร์โอลิมปิก (ใกล้เคียงกับลอนดอนโอลิมปิกปี 2555) ในขณะที่การจัดงานครั้งนี้ มีข้อจำกัดหลายด้าน น่าจะส่งผลให้ญี่ปุ่นต้องรับภาระขาดทุนอย่างหนักจากการจัดงานนี้
โดยนับตั้งแต่ญี่ปุ่นได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดงาน ก็มีค่าใช้จ่ายในการประมูลที่สูงอยู่แล้ว เมื่อรวมกับการเตรียมความพร้อมสถานที่แข่งขัน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลื่อนการแข่งขันเป็นระยะเวลา 1 ปี รวมแล้วเป็นวงเงินลงทุนสูงไม่ต่ำกว่า 15.4 พันล้านดอลลาร์ฯ (507,100 ล้านบาท)
เมื่อเทียบกับการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวเมืองโซซิ ที่รัสเซียปี 2557 ที่มีต้นทุนการจัดงานสูงสุดเป็นอันดับ 1 ถึง 50 พันล้านดอลลาร์ฯ (1,646,400 ล้านบาท)
ตามมาด้วยโอลิมปิกเมืองปักกิ่ง ที่จีนปี 2551 มีต้นทุน 44 พันล้านดอลลาร์ฯ (1,448,800 ล้านบาท)
ขณะที่การยกเลิกการจัดงาน กลับมีต้นทุนที่ต้องแบกรับเพิ่มขึ้นอีก
กระทบต่อธุรกิจเป็นวงกว้างและไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในภาพรวม
โดยในทางกฎหมายคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee: IOC) กำหนดให้ญี่ปุ่นต้องจัดการแข่งขันในฐานะเจ้าภาพ แม้ญี่ปุ่นจะมีสิทธิยกเลิกการแข่งขันได้ แต่ก็ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมไม่ต่ำกว่า 20 พันล้านดอลลาร์ฯ (658,600 ล้านบาท)
ประกอบด้วยต้นทุนการเตรียมงานที่สูญเสียไปแล้ว และยังมีค่าใช้จ่ายในการผิดสัญญากับ IOC ในกรณียกเลิกการแข่งขัน
รวมทั้งค่าเสียโอกาส ที่เกิดกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องในการจัดงาน โดยเฉพาะบริษัทประกันที่จะต้องจ่ายค่าสินไหม จากการยกเลิกเป็นวงเงินราว 2-3 พันล้านดอลลาร์ฯ (65,900 - 98,800 ล้านบาท)
ให้แก่ สปอนเซอร์ ผู้ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด รวมถึงองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายร้อยราย
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามสถานการณ์โควิด หลังจบงานแข่งขันโอลิมปิกครั้งประวัติศาสตร์
อาจมีผลอย่างมากฉุดเศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังจากนี้ ด้วยการแข่งขันที่มีนักกีฬาจากทั่วโลกเข้าร่วมประมาณ 22,000 คน ในจำนวนดังกล่าว ก็อาจตรวจพบเชื้อโควิด ยิ่งเพิ่มความกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศที่ขณะนี้
ญี่ปุ่นยังคงประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อสกัดการแพร่ระบาดระลอกที่ 4
นอกจากนี้ การกระจายวัคซีนในญี่ปุ่นก็ยังมีข้อจำกัดเช่นเดียวกับประเทศอื่น มีผู้ได้วัคซีนอย่างน้อย 1 โดส 35.3% จากจำนวนประชากร 126 ล้านคน
ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า
การจัดงานมหกรรมกีฬาโลกครั้งสำคัญ ไม่น่าจะช่วยเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้
ทั้งยังสร้างภาระหนี้ที่มาจากการลงทุนเตรียมงานมหาศาลในช่วงที่ผ่านมา ยิ่งส่งผลกดดันทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2564 คาดว่า จะขยายตัวได้ที่ 2.6% ด้วยแรงขับเคลื่อนภาคการส่งออกโดยเฉพาะตลาดจีนและสหรัฐฯ และอานิสงส์จากฐานที่ต่ำสุดในรอบทศวรรษ ที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวลงถึง (-) 4.8% ในปี 2563
ขณะที่การระบาดของโควิด จะกลายเป็นแรงกดดันสำคัญ ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตต่ำกว่าที่คาด
ถ้าหากหลังสิ้นสุดการแข่งขันโอลิมปิก ยังไม่สามารถดึงยอดผู้ติดเชื้อให้ลดลงมาได้
เนื่องจากในเวลานี้ การระบาดระรอกที่ 4 มีสัญญาณเร่งตัวอย่างน่ากังวล และการจัดงานโอลิมปิกยิ่งทวีความท้าทายในการความคุมสถานการณ์
ดังนั้น อานิสงส์ส่วนเพิ่มจากการจัดงานโอลิมปิก ส่งผลต่อการส่งออกของไทยอย่างจำกัด ในขณะที่ยังต้องติดตามสถานการณ์หลังการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่อาจนำมาสู่การแพร่ระบาดระลอกใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดญี่ปุ่นในระยะข้างหน้า
โดยการส่งออกของไทยไปญี่ปุ่น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีมูลค่า 12,565 ล้านดอลลาร์ฯ (413,700 ล้านบาท) กลับมาเติบโตดีถึง 12.6% (YoY)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ประกอบกับฐานที่ต่ำ จากการผ่านพ้นช่วงวิกฤติของโควิด มีส่วนทำให้การส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นปี 2564 จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ 12.2% เป็นการเติบโตครั้งแรกในรอบ 3 ปี (จากในปี 2563 ที่หดตัว 7.0%)
แตะมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 25,600 ล้านดอลลาร์ฯ (843,000 ล้านบาท)
โดยสินค้าส่งออกของไทยฟื้นตัวถ้วนหน้า อาทิ รถยนต์/ส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ และคอมพิวเตอร์/ส่วนประกอบ
ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.