สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP เพิ่มขึ้นเป็น 80% และคาดว่าจะแตะ 90% ภายในสิ้นปีนี้ - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP เพิ่มขึ้นเป็น 80% และคาดว่าจะแตะ 90% ภายในสิ้นปีนี้ - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

8 ก.ค. 2020
สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP เพิ่มขึ้นแตะระดับ 80.1% ในไตรมาส 1/2563 ที่ผ่านมา
ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนว่า ภาคครัวเรือนกำลังรับมือกับปัญหาการหดตัวของรายได้ ซึ่งเร็วกว่าการชะลอตัวของการกู้ยืม ตอกย้ำปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไทยกำลังเผชิญ
โดยเฉพาะท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะ 1-2 ปี ข้างหน้านี้
ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองต่อสถานการณ์หนี้ครัวเรือนดังนี้
จากข้อมูลล่าสุด ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนของไทยในไตรมาส 1/2563 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ประมาณ 3,562 ล้านบาท มาอยู่ที่ 13.479 ล้านล้านบาท
เนื่องจากครัวเรือน-กลุ่มลูกหนี้รายย่อยยังคงมีการชำระคืนหนี้ตามปัจจัยฤดูกาล
รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับโควิด-19 ส่งผลให้สินเชื่อในกลุ่มที่ไม่มีหลักประกัน ทั้งบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ หดตัวลงตามทิศทางการจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือนที่เป็นไปอย่างระมัดระวัง
อย่างไรก็ดี หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง และยังเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะยังคงเห็นการก่อหนี้ก้อนใหญ่ ทั้งเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยและเช่าซื้อรถยนต์ เพิ่มขึ้นตามแคมเปญที่ผู้ประกอบการผลักดันออกมาเพื่อประคองตลาด
สวนทางสัญญาณอ่อนแอของ กำลังซื้อภาคครัวเรือน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายๆ ส่วน
ขณะที่การก่อหนี้เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจที่ขยับสูงขึ้น ก็เป็นทิศทางที่ตอกย้ำว่า
ผู้ประกอบการรายเล็กๆ อาจเริ่มเผชิญปัญหาการขาดสภาพคล่องมาตั้งแต่ในช่วงไตรมาสแรกที่เศรษฐกิจชะลอตัว ก่อนหน้าที่จะมีผลกระทบจากโควิด-19 มาซ้ำเติมอีกระลอก
แม้ระดับหนี้ครัวเรือนจะลดลงเล็กน้อยในไตรมาสแรก แต่ก็ยังไม่ชัดเท่ากับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมากกว่า ซึ่งทำให้โดยเปรียบเทียบแล้ว หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ยังขยับขึ้นจาก 79.9% ในไตรมาส 4/2562
มาที่ 80.1% ในไตรมาส 1/2563 ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี และน่าจะมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่องอีกในไตรมาสที่เหลือของปี 2563
แต่คงต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สถานการณ์หนี้ที่ปรับสูงขึ้นหรือทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องนี้
ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่หลายๆ ประเทศในเอเชียกำลังเผชิญอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน อาทิ เกาหลีใต้, นิวซีแลนด์, มาเลเซีย, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น และจีน
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของไทย อาจขยับสูงขึ้นไปอยู่ในกรอบประมาณ 88-90% ต่อ GDP ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งนับเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 18 ปี (ข้อมูล ธปท. ย้อนหลังถึงปี 2546)
เนื่องจากเศรษฐกิจที่หดตัวลงแรง ขณะที่สัญญาณช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของสถาบันการเงิน
ทั้งการลดภาระผ่อนต่อเดือน และการพักชำระหนี้ เพื่อลดภาระทางการเงินให้กับลูกหนี้
น่าจะมีผลทำให้ยอดหนี้คงค้างของครัวเรือน และลูกค้ารายย่อยไม่ปรับลดลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจ
ซึ่งจากข้อมูลของ ธปท. ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2563 พบว่า มีลูกหนี้รายย่อยได้รับความช่วยเหลือแล้วเป็นจำนวน 11.48 ล้านราย มูลหนี้รวม 3.8 ล้านล้านบาท
จุดจับตาสำคัญจะอยู่ที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่มีต่อกระแสรายได้และความสามารถในการชำระคืนหนี้
โดยเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้รายย่อยที่ไม่ได้มีรายได้ประจำ, กลุ่มลูกหนี้บุคคลซึ่งแต่เดิมมีปัญหาฐานะทางการเงินที่ค่อนข้างเปราะบาง และกลุ่มที่ถูกปรับลดชั่วโมงการทำงาน
ซึ่งย่อมจะมีผลทำให้สัดส่วน สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) ในพอร์ตสินเชื่อรายย่อยของระบบธนาคารพาณิชย์มีโอกาสอาจขยับสูงขึ้นกว่าระดับ 3.23% ในไตรมาส 1/2563
ขณะที่การต่ออายุมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย และมาตรการพักหนี้ของสถาบันการเงินจำนวนคนเข้าร่วมโครงการ และตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
คงจะทำให้ยากที่จะประเมินตัวเลข NPLs ที่ชัดเจนได้ในขณะนี้ และคงทำให้ตัวเลขที่รายงานออกมา
ไม่ได้สะท้อนผลกระทบต่อผลประกอบการทั้หมดที่ธนาคารพาณิชย์กำลังเผชิญในหลายๆ ไตรมาสข้างหน้า
ที่มา - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.