นีโอ คอร์ปอเรท บริษัทคนไทย เตรียมผงาดขึ้นอันดับ 1 กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว-ครีมอาบน้ำ

นีโอ คอร์ปอเรท บริษัทคนไทย เตรียมผงาดขึ้นอันดับ 1 กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว-ครีมอาบน้ำ

17 ก.ย. 2020
· เปิดกลยุทธ์ “นีโอ คอร์ปอเรท” หลังชูธงบริษัทคนไทยบุกตลาดสินค้าอุปโภค
· ก้าวสู่บัลลังก์แชมป์หมวดสินค้าทำความสะอาด-ครีมอาบน้ำ
· บีไนซ์ ดีนี่ ทรอส แบรนด์ชูธง นำทัพสู่ตำแหน่ง “ผู้นำ” ตลาดครีมอาบน้ำ
· เดินหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่ จัดแคมเปญสื่อสารการตลาด สร้างสีสันและความคึกคักต่อเนื่อง
· ชูแนวทางการพัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขอนามัยกลุ่มเป้าหมาย ตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุค New Normal
· ปรับกลยุทธ์การทำตลาดโค้งสุดท้ายไตรมาส 4 หลังโควิด-19 คลี่คลายสู่ทิศทางที่ดีขึ้น 
ปัทมา ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด  เปิดเผยว่า จากการเป็นบริษัทคนไทยที่มุ่งมั่นทำตลาดสินค้าอุปโภคตอบสนองผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่องยาวนานเกือบ 30 ปี มีการพัฒนาสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ที่มีคุณภาพ และนวัตกรรมใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด การจัดแคมเปญสื่อสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพ การกระจายสินค้าเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง ทุกช่องทาง ทั้งออฟไลน์ เช่น ร้านค้าทั่วไป (Traditional Trade) ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ร้านสะดวกซื้อ และช่องทางออนไลน์ แพลตฟอร์มต่างๆ ส่งผลให้บริษัทสร้างยอดขายเติบโต และมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น ล่าสุด ผลิตภัณฑ์หมวดทำความสะอาดและครีมอาบน้ำ ซึ่งมีแบรนด์ชูธงอย่าง บีไนซ์ ดีนี่ และ ทรอส ได้ก้าวเป็นเบอร์ 1 บริษัทสัญชาติไทยในตลาดเรียบร้อยแล้ว
ปัจจุบันสินค้ากลุ่มสบู่เหลวมีมูลค่าทางการตลาดรวมมากกว่า 7,400 ล้านบาท  หากจำแนกหมวดหมู่สินค้าและตลาดกลุ่มครีมอาบน้ำสำหรับผู้ใหญ่มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 6,000 ล้านบาท มีการเติบโต 2.4% และครีมอาบน้ำเด็กมีมูลค่าตลาดรวม 1,400 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ สามารถชิงส่วนแบ่งทางการตลาดรวมทั้งบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 17.6%
นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัทฯ สามารถเติบโตได้ดี ยอดขายครีมอาบน้ำโดยรวมเติบโต 7.7% จำแนกเป็น แบรนด์บีไนซ์มีการเติบโต 19% ครีมอาบน้ำทรอส เติบโต 58% ครีมอาบน้ำสำหรับเด็กดีนี่ เติบโต 33% มียอดขายเป็นอันดับ 2 แต่เติบโตมากที่สุด
“กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งและเติบโตแบบก้าวกระโดดตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเราเป็นบริษัทคนไทยอันดับ 1 ที่มีสินค้าหลายรายการมีส่วนแบ่งตลาดเป็นผู้นำและเติบโตสูง เช่น ครีมอาบน้ำเด็กดีนี่ บีไนซ์และทรอสมียอดขายเติบโตสูงกว่าตลาดโดยรวม และดีนี่คิดส์ยังเป็นผู้นำตลาดที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 60% และเรายังเดินหน้าวางแผนกลยุทธ์การทำตลาดเชิงรุก ผลักดันสินค้าหลายๆ หมวดให้ทยอยขึ้นเป็นผู้นำตลาด เพื่อทะยานสู่เป้าหมาย พร้อมแซงบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลขึ้นเป็นอันดับ 1 ในปี 2564
สำหรับแนวทางการทำตลาด บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นเป็นบริษัทคนไทยที่จะนำพาสินค้าไทยให้เติบโตในตลาด เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำไว้อย่างแข็งแกร่ง และยังคงผลักดันให้สินค้าทุกหมวดหมู่มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและครีมอาบน้ำ ผ่านแบรนด์ที่เป็นผู้นำ เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกายบีไนซ์ (Benice), ผลิตภัณฑ์อาบน้ำเด็กดีนี่ (D-nee) และผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำทรอส (Tros) เป็นต้น
ทั้งนี้ กลยุทธ์การทำตลาดจะประกอบไปด้วย  
      · การพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ คุณภาพสูง ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อาทิ ครีมอาบน้ำบีไนซ์ เลิฟ มี พีช ซีรี่ส์  (BeNice Love me Peach series) ที่จะเป็นไฮไลท์ในไตรมาส 4 พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และจัดกิจกรรมทางการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้หญิงทันสมัย ที่รักและใส่ใจเรื่องสุขภาพ ความงาม 
ส่วนผลิตภัณฑ์เด็กดีนี่คิดส์ เตรียมออกคอลเล็กชั่นพิเศษ “ดีนี่คิดส์ โฟรเซ่น คอลเล็กชั่น 2
(D-nee kids Frozen II - collection 2) ที่เป็นการนำคาแร็กเตอร์การ์ตูนยอดนิยมอย่างโฟรเซ่น มาอยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นสบู่เหลว แป้ง โลชั่นกันแดด พร้อมกับมีของแถมน่ารักเพื่อให้คุณหนู ๆ ได้สะสม
      · การตั้งราคาจำหน่ายที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 ที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
     · การเพิ่มงบประมาณการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านสื่อครบวงจร 360 องศา ทั้งสื่อออฟไลน์ และออนไลน์ เช่น สื่อโฆษณานอกบ้านที่เป็นป้ายบิลบอร์ด ย่านใจกลางกรุงเทพฯ จนถึงปลายปี และสื่อออนไลน์ทุกช่องทาง เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคทุกจุดสัมผัส (Touch point) ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูป และทวิตเตอร์ เป็นต้น
    · การกระจายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการรับวิถี New Normal ของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ โดยไตรมาส 4 บริษัทฯ จะเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่เพิ่มความแข็งแกร่งในการรุกตลาดออนไลน์ยิ่งขึ้น  จากที่ผ่านมาบริษัทฯ มุ่งกระตุ้นการขายผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซ “DealDD Shop” มากขึ้น จนสร้างการเติบโตของยอดขายแบบก้าวกระโดดถึง 133%  
 วิกฤติโควิด-19 เป็นปัจจัยเร้าให้ทิศทางการขยายตลาดออนไลน์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้เรียนรู้การช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล อีคอมเมิร์ซต่างๆ และกลายเป็นความคุ้นเคยการช้อปปิ้งแบบ New Normal ที่สำคัญการปรับตัวของบริษัทในการบุกช่องทางออนไลน์ ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรองรับการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ดิจิทัล หรือ Digital Transformation ด้วย”
ปัทมา กล่าวอีกว่า “จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระบาด ตั้งแต่ปลายไตรมาส 1 จนถึงปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน การดำเนินธุรกิจในวงกว้าง รวมทั้งสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในการตระหนัก ใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น จนเกิดวิถีชีวิต New Normal สวมใส่หน้ากากอนามัย เมื่อออกไปทำกิจกรรมต่างๆ นอกบ้าน ทำความสะอาดล้างมือ เพื่อป้องกันเชื้อโรค
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมใหม่ๆ และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับบริษัท นีโอ คอร์ปอเรท ได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจสินค้าอุปโภคในไตรมาส 4 มุ่งเน้นการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ทุกหมวดเพื่อผลักดันให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มุ่งตอกย้ำกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค (Anti-Bactetia) เพื่อก้าวสู่การเป็น “ผู้นำตลาด” ภายใน 1-3 ปีข้างหน้า ตามเป้าหมายที่วางไว้
“วิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคทั่วโลกได้ตระหนักและหันมาใส่ใจในสุขอนามัยของตนเอง ครอบครัว และครัวเรือนมากขึ้น นีโอจึงเร่งปรับทิศทางในการขับเคลื่อนธุรกิจ มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าทำความสะอาดและครีมอาบน้ำด้วยนวัตกรรม กุญแจสำคัญของแบรนด์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุค New Normal เช่น บีไนซ์ มีสารสกัดจากธรรมชาติ ช่วยดูแลผิวกระชับ นุ่มชุ่มชื้น และชำระล้างแบคทีเรีย 99.99% ทรอส พัฒนาสูตรครีมอาบน้ำช่วยระงับกลิ่นกาย และทำความสะอาดผิวล้ำลึกชำระล้างแบคทีเรีย 99.99% เหมาะสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ สบู่เหลวเด็กดีนี่ คิดส์ มีสูตรพิเศษช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย เป็นต้น”
อย่างไรก็ตาม ปี 2562 ภาพรวมยอดขายบริษัทฯ มีการเติบโต 25% ส่วนในปี 2563 ตั้งแต่เดือน ม.ค. – ส.ค. จากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ภาพรวมบริษัทฯ เติบโต 1.3% โดยกลุ่มทำความสะอาดเติบโต 8% และตั้งเป้าหมายรักษาอัตราการเติบโตที่ 10% เมื่อปิดปี 2563
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.