เฮลซ์บลูบอย สินค้าที่หน้าตาเดิม ๆ แต่ยอดขายเติบโตทุกปี

เฮลซ์บลูบอย สินค้าที่หน้าตาเดิม ๆ แต่ยอดขายเติบโตทุกปี

1 พ.ค. 2021
เมืองร้อนอย่างเมืองไทย สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ เมนูหรือเครื่องดื่มหวาน ๆ เย็น ๆ
ซึ่งหนึ่งในวัตถุดิบสำหรับสร้างสรรค์เมนูเหล่านี้ ที่ตั้งแต่รถเข็นน้ำแข็งไส, ร้านขนมหวานและเครื่องดื่ม, ร้านอาหาร รวมถึงตามบ้านของแต่ละครัวเรือน เลือกใช้กัน ก็คือ เฮลซ์บลูบอย (Hale's Blue Boy)
น้ำหวานเข้มข้น สูตรในตำนาน โดยเฉพาะน้ำหวานสีแดง และสีแดง ที่เป็นของขึ้นชื่อจากแบรนด์
มากับโลโกเด็กชายใส่หมวก บนขวดแก้ว อันเป็นเอกลักษณ์ ที่ใคร ๆ แม้เห็นผ่าน ๆ ก็จำได้
แม้รูปลักษณ์ภายนอกของ เฮลซ์บลูบอย จะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน มาหลายสิบปีแล้ว
แต่ถึงตอนนี้ ด้วยรสชาติและราคาที่ถูกใจ ชาวไทยอย่างเรา ๆ มาโดยตลอด
ทำให้แบรนด์ยั่งคงยืนหยัด เป็นผู้นำในตลาดได้ไม่เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมคือยอดขายที่โตขึ้น..
บริษัท เฮลซ์เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด
ปี 2560 มีรายได้ 2,594 ล้านบาท กำไร 465 ล้านบาท
ปี 2561 มีรายได้ 2,889 ล้านบาท กำไร 749 ล้านบาท
ปี 2562 มีรายได้ 3,769 ล้านบาท กำไร 1,099 ล้านบาท
ใครจะไปรู้ว่า ธุรกิจขายนำ้หวานบ้าน ๆ จะมีรายได้เกิน 3,000 ล้าน
แถมในปี 2562 รายได้ยังโตขึ้นกว่า 30% และกำไรโตขึ้นกว่า 47%
แล้วอะไรคือ จิ๊กซอว์ สำคัญ ที่ทำให้เฮลซ์บลูบอย ประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้ ?
จุดสตาร์ตของ เฮลซ์บลูบอย เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502
โดย 4 พี่น้องตระกูลพัฒนะอเนก ซึ่งเป็นครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน
ได้เปิดร้านโชว์ห่วยขายของทั่วไป แต่ภายหลังได้เห็นโอกาสในธุรกิจน้ำหวาน
บวกกับเห็นว่าในช่วงนั้น สินค้าอุปโภคบริโภคประเภทนี้ ไม่ค่อยมีอยู่ในตลาด
ดังนั้น หากใครทำสินค้าแปลกใหม่ได้ก่อน หรือทำแบรนด์ได้ก่อน ก็มักได้เปรียบคนอื่น
พวกเขาจึงมีความคิดที่จะทำน้ำหวานใส่ขวดขาย โดยลองช่วยกันคิดค้นสูตรน้ำหวานขึ้นมา
ตอนแรก ๆ ก็นำสูตรน้ำหวานที่คิดได้ มาวางขายภายในร้านก่อน
แต่พอกระแสตอบรับ และยอดขายดีเกินคาด
จึงตัดสินใจ หันมาทำแบรนด์น้ำหวานอย่างจริงจัง และก็กลายมาเป็น เฮลซ์บลูบอย ในที่สุด
พร้อมกับสร้างโรงงานผลิตน้ำหวานแห่งแรกขึ้น บนถนนสาทรใต้
หลังจากนั้น เฮลซ์บลูบอย ก็มีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่อง
และด้วยความที่ธุรกิจขยายตัวตาม ประชากรที่เพิ่มขึ้น และมีการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายสินค้า กับร้านโมเดิร์นเทรดต่าง ๆ
ทำให้บริษัทต้องขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มากขึ้น
โดยย้ายโรงงานไปยังนิคมอุตสาหกรรมบางชัน รวมถึงสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ที่ทันสมัย ในนิคมอุตสาหกรรมเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2542
ปัจจุบัน เฮลซ์บลูบอย มีสินค้าขายด้วยกันอยู่ 9 กลิ่น ได้แก่
สละ (สีแดง) ครีมโซดา (สีเขียว) องุ่น (สีม่วง) มะลิ (สีออกใส) สตรอเบอรี่ (สีแดง) สับปะรด (สีเหลือง) กุหลาบ (สีแดง) ซาสี่ (สีดำ) แคนตาลูป (สีเขียว)
และมีกลุ่มลูกค้าในทุกระดับ ตั้งแต่ร้านค้าขนาดเล็ก, ผู้บริโภคทั่วไป ไปจนถึงร้านอาหาร ร้านของหวานระดับหรู
นอกจากนี้ เมื่อเห็นว่าตลาดในประเทศ เริ่มอิ่มตัวแล้ว
เฮลซ์บลูบอย ก็เริ่มศึกษาและหาโอกาสเติบโตต่อในต่างประเทศ ทันที
โดยเริ่มจากส่งออกสินค้า ไปยังประเทศเพื่อนบ้านก่อน
จากนั้นจึงขยายฐานลูกค้า ไปยังสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และเอเชีย โดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่จีนและอินเดีย
ตอนนี้ เฮลซ์บลูบอย บริหารธุรกิจโดยทายาทรุ่นที่ 2 ซึ่งก็มีด้วยกันทั้งหมด 4 คน
ซึ่งคุณประยุทธ พัฒนะเอนก หนึ่งในทายาทรุ่น 2
เคยเล่าถึงตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้เฮลซ์บลูบอย สามารถแจ้งเกิดในตลาดได้ และเป็นผู้นำมาตลอด
-ตัวแปรแรก คือ นอกจากเฮลซ์บลูบอย จะเป็นผู้เล่นในตลาดรายแรก ๆ แล้ว ซึ่งทำให้ได้เปรียบในการทำตลาด
โมเดลธุรกิจของเฮลซ์บลูบอย ที่เป็นสินค้าน้ำหวานเพื่อการบริโภคในครัวเรือน นั้นมีอัตรากำไรต่อหน่วยไม่มาก
และตลาดโดยรวมไม่ใหญ่พอ ทำให้บริษัทใหญ่ ๆ เงินทุนหนา ๆ ไม่ค่อยสนใจมาลงเล่นกัน
ซึ่งส่วนใหญ่จะไปเล่นตลาดผลิตน้ำหวานเพื่อส่งใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
หรือผลิตเครื่องดื่มสำเร็จรูปทั่วไปขายมากกว่า
ส่วนบริษัทรายเล็ก ๆ ที่อยากจะเข้ามาแย่งเค้กแข่งกับ เฮลซ์บลูบอย ก็สู้ยาก เพราะเฮลซ์บลูบอย ครองตลาดและครองใจผู้บริโภคอยู่นานแล้ว
ถ้าทรัพยากรไม่มากพอ ก็ลำบากที่จะดึงฐานลูกค้า จากแบรนด์เจ้าตลาดเดิม
-ตัวแปรต่อมา คือ คุณภาพต้องมาเป็นอันดับ 1
สิ่งที่เฮลซ์บลูบอย ให้ความสำคัญมากที่สุดคือเรื่องของ คุณภาพสินค้า
แม้จะเป็นแบรนด์เก่าแก่ และติดตลาดแล้ว
แต่ต้องไม่ลืมรักษาคุณภาพของสินค้าให้ดีอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร
คุณภาพสินค้าหรือบริการ ถือเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ
ถ้าคุณภาพตก ก็เหมือนหัวใจของธุรกิจ กำลังเริ่มหยุดเต้น
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ แนวทางการดำเนินธุรกิจของ เฮลซ์บลูบอย ที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม
โดยบริษัทจะเน้นการเติบโตแบบค่อยไปค่อยไป ไม่กู้หนี้ยืมสิน มาเร่งขยายธุรกิจ
รวมถึงไม่แตกไลน์ ไปทำสิ่งที่ไม่ถนัด
ซึ่ง ณ สิ้นปี 2562
บริษัท เฮลซ์เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด
มีสินทรัพย์รวม 2,919 ล้านบาท และหนี้สินรวม 356 ล้านบาท
หรือมีหนี้สินรวมคิดเป็น 12% ของสินทรัพย์รวม เท่านั้น
ข้อดีของธุรกิจที่มีหนี้สินน้อย ก็มีหลายอย่าง เช่น ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยจ่าย, ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินมาชำระหนี้, มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ได้ดีกว่าธุรกิจที่มีหนี้เยอะ
คุณประยุทธ พัฒนะเอนก กล่าวว่า
ชีวิตคนเรา ก็เปรียบเหมือนธุรกิจ ถ้าโตขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างแข็งแรง ก็มีความสุขแล้ว
ไม่จำเป็นต้องโตแบบหวือหวา เร่งขยายธุรกิจจนเกินตัว
เห็นอย่างหลายบริษัท ที่อยากโตเร็ว ๆ ก็ไปกู้หนี้ยืมสินมา
พอเจอวิกฤติเศรษฐกิจ ธุรกิจก็ล้มละลายไปเลย เพราะหนี้ท่วมหัว
ซึ่งเราไม่ต้องการแบบนั้น..
แต่ไม่ได้หลายความว่า การทำธุรกิจ ต้องไม่มีหนี้เลย
เพียงแต่ว่า หากจะกู้ ต้องกู้มาขยายกิจการทีละเล็กทีละน้อย ตามความจำเป็น
และใช้เงินที่กู้มา ไปให้ถูกกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของธุรกิจด้วย..
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.