ข้าวตราไดโนเสาร์ ข้าวที่หาซื้อยาก แต่คนรักมาก

ข้าวตราไดโนเสาร์ ข้าวที่หาซื้อยาก แต่คนรักมาก

13 ก.ย. 2021
รู้หรือไม่ว่า ข้าวตราไดโนเสาร์ หลายคนให้ฉายาว่าเป็น “ข้าวที่ดังที่สุดในโลกออนไลน์”
สำหรับคนที่เป็นแฟนคลับข้าวแบรนด์นี้ คงจะรู้ดีว่า ข้าวหอมมะลิตราไดโนเสาร์นั้น เด่นในเรื่องความหอมและนุ่มเป็นพิเศษ แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จักและยังไม่เคยลิ้มลองข้าวแบรนด์นี้
วันนี้เราจะมาเจาะลึกหาเหตุผลกันว่า ทำไมข้าวแบรนด์นี้ถึงดัง และมีฐานแฟนคลับเป็นจำนวนมาก ?
ก่อนอื่นต้องย้อนไปที่จุดเริ่มต้นกันก่อน
ผู้ริเริ่มข้าวตราไดโนเสาร์ คือคุณจำนงค์ รุ่งโรจน์นิมิตชัย ซึ่งเขามีความคุ้นเคยกับการช่วยงานคุณพ่อในโรงสีตั้งแต่เด็ก ๆ
หน้าที่หลัก ๆ ของคุณจำนงค์ คือการคอยตรวจสอบคุณภาพของข้าว ชั่งน้ำหนักข้าว พอทำบ่อย ๆ เข้า ก็เกิดเป็นความชำนาญ
จนกระทั่งเรียนจบ ก็ได้เป็นเถ้าแก่โรงสีสมใจอยาก จากการซื้อโรงสีข้าว และก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด พงษ์ชัยธัญญาพืช หรือ โรงสีพงษ์ชัยธัญญาพืช ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2534
และต่อมา ก็ได้เริ่มสร้างแบรนด์ข้าวของตัวเอง ในปี พ.ศ. 2539 ภายใต้ชื่อ “ไดโนเสาร์”
ทำไมถึงชื่อ ไดโนเสาร์ ?
จริง ๆ แล้วก่อนหน้านั้น ก็เคยผ่านชื่อ ช้าง กับ มังกร มาแล้ว แต่ค้นพบว่าชื่อซ้ำกับคนอื่น เลยจบลงที่ชื่อไดโนเสาร์ ซึ่งสาเหตุที่ตั้งชื่อนี้ ก็เพราะต้องการให้จำง่ายและติดหู นั่นเอง
เป้าหมายของโรงสีพงษ์ชัยธัญญาพืช คือต้องการเป็นศูนย์รวมข้าวหอมมะลิคุณภาพดี
จึงเริ่มคัดเลือกข้าวหอมมะลิพันธุ์ดี จากพื้นที่ใน อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธรก่อน จากนั้นก็ขยับขยายไปบางตำบลในจังหวัดอำนาจเจริญและมุกดาหาร ตามความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น
สาเหตุที่เลือกพื้นที่ดังกล่าว เพราะข้าวจะมีความหอม นุ่ม และอร่อยเป็นพิเศษ แตกต่างจากข้าวหอมมะลิในพื้นที่อื่นของประเทศไทย
เพราะด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ของ อำเภอเลิงนกทา เป็นผืนนาที่มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการปลูกข้าวหอมมะลิเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ได้ข้าวมาแล้ว กระบวนการตรวจสอบคัดเลือกข้าว ก็พิถีพิถันไม่แพ้กัน
เพราะคุณจำนงค์เชื่อว่า “ถ้าต้องการข้าวคุณภาพ เราต้องประณีต จริงจัง และทำทุกขั้นตอนอย่างถูกต้อง”
ขั้นตอนแรก เริ่มจากการคัดเลือกข้าวเปลือกที่ดี
โดยการคัดเลือก ถึงขนาดที่ว่าคุณจำนงค์ ต้องหุงข้าวเพื่อทดลองชิมทันที ณ ตอนนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าได้ข้าวคุณภาพจริง ๆ
และเทคนิคสำคัญของที่นี่ คือขั้นตอนการจัดเก็บข้าว
สำหรับข้าวที่โรงสีอื่น เราอาจได้เห็นกองข้าวกองสูงเป็นเนินในโรงสี แต่ที่นี่ จะมีการอบข้าวเปลือกก่อนนำไปเก็บไว้ในไซโล (ถังขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุเก็บรักษาอาหารหลายชนิด เช่น ข้าวและเมล็ดธัญพืช โดยภายในมีระบบกันชื้นและระบายอากาศ)
โดยมีการควบคุมอุณหภูมิที่แห้งและเย็นประมาณ 20-25 องศาฯ ในทันที เพื่อคงคุณภาพความหอมและความนุ่มของข้าวได้นานมากขึ้น
นอกจากนั้น ในโรงอบหรือโรงเก็บข้าว ยังต้องมีการเฝ้าระวังสัตว์และแมลงไม่ให้เข้าไปได้ด้วย
จากกระบวนการผลิตทั้งหมด ของโรงสีพงษ์ชัยธัญญาพืช เราจะเห็นได้ว่า ในทุกขั้นตอนมีความละเอียดและพิถีพิถันมาก
ความใส่ใจที่ใส่ลงไปในข้าวทุกเม็ด ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ คนที่ได้ลองทานข้าวตราไดโนเสาร์ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หอม นุ่ม และอร่อย และกลายเป็นแฟนคลับที่เหนียวแน่น นับจากนั้น
ที่สำคัญคือข้าวตราไดโนเสาร์ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีและไม่ได้ใช้งบการตลาดแต่อย่างใด แต่แบรนด์กลับกลายเป็นที่จดจำ จากเพียงคนในพื้นที่ ที่บอกต่อกันถึงความอร่อย และก็กระจายวงกว้างไปในโลกออนไลน์ในที่สุด
หากมาดูผลประกอบการของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด พงษ์ชัยธัญญาพืช จะพบว่า
ปี 2561 ทำรายได้ 154 ล้านบาท
ปี 2562 ทำรายได้ 211 ล้านบาท
ปี 2563 ทำรายได้ 230 ล้านบาท
เมื่อดูจากการเติบโตของรายได้ ก็เป็นการการันตีได้เบื้องต้นว่า ข้าวตราไดโนเสาร์นั้น เป็นที่ชื่นชอบของตลาด มีฐานลูกค้าที่หลงรักแบรนด์ และพร้อมอุดหนุนอย่างต่อเนื่อง
และอีกเหตุผลที่ทำให้ข้าวตราไดโนเสาร์ ดังมากในโลกออนไลน์ เป็นเพราะหาซื้อยาก และไม่มีขายตามห้างสรรพสินค้า และร้านค้าชั้นนำทั่วไป..
คุณจำนงค์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ Health Addict Magazine ว่า “เหตุผลที่หาซื้อได้ยาก เพราะในปีหนึ่ง เรารับซื้อข้าวคุณภาพดีมาได้ในปริมาณไม่มาก ซึ่งจริง ๆ แล้ว มีห้างฯ มาชวนไปขายหลายเจ้า
แต่ปริมาณมีจำกัด ทำให้ตอนนี้ยังคงขายอยู่ในร้านค้าแบบดั้งเดิม และบางร้านก็นำไปขายบน Shopee หรือ Lazada ซึ่งก็สะดวกกับผู้บริโภค”
จากช่องทางจัดจำหน่ายที่น้อย ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คน ต่างโหยหาข้าวตราไดโนเสาร์ มาไว้ครอบครอง
ด้วยความตั้งใจและพิถีพิถันในทุกขั้นตอน บวกกับคุณภาพของข้าว รวมถึงมีช่องทางเข้าถึงจำกัด ทำให้รู้สึกว่าเป็นแรร์ไอเทม หรือ ของหายาก
อาจสรุปได้ว่า ทั้งหมดนี้คือ กลยุทธ์ที่ทำให้คนรักข้าวตราไดโนเสาร์ นั่นเอง..
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.