Johnson & Johnson ประกาศแยกบริษัทเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค และยา ออกจากกัน

Johnson & Johnson ประกาศแยกบริษัทเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค และยา ออกจากกัน

15 พ.ย. 2021
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางบริษัท จอห์นสัน & จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ได้ออกมาประกาศว่า จะแยกบริษัทเดิมที่เป็นกลุ่มบริษัทเกี่ยวกับสุขภาพ (Health-Care) ออกเป็น 2 บริษัทใหม่ ได้แก่
1. บริษัทเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product)
2. บริษัทเกี่ยวกับยาและอุปกรณ์การแพทย์ (Pharmaceutical and Medical)
ซึ่งจะก่อตั้งทั้ง 2 บริษัท ให้เป็นบริษัทมหาชนเช่นเดียวกัน
และหลังจากที่ประกาศเรื่องนี้ออกไป ก็ทำให้ราคาหุ้นของทางบริษัท ปรับตัวสูงขึ้นทันที 3% ก่อนช่วงเปิดตลาด (Premarket Trading)
ทั้งนี้ หากพูดถึงผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ดังจาก จอห์นสัน & จอห์นสัน
หลาย ๆ คนคงนึกถึงแบรนด์แป้งเด็ก ที่เรียกติดปากกันว่า “แป้งเด็กจอห์นสัน” และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในชื่อจอห์นสัน & จอห์นสัน
หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์อื่น ๆ อาทิ ครีมทาผิว Aveeno, สกินแคร์ Neutrogena, น้ำยาบ้วนปาก Listerine หรือเบบี้ออยล์ตัวดัง ที่ก็ต่างเป็นผลิตภัณฑ์ในเครือของ จอห์นสัน & จอห์นสัน ทั้งหมด
แต่จริง ๆ แล้ว นอกจากนี้ จอห์นสัน & จอห์นสัน ยังเป็นบริษัทผู้ผลิตยาและเครื่องมือแพทย์ รายสำคัญของโลกอีกด้วย ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ ก็อย่างเช่นวัคซีนป้องกันโควิด 19 ของ จอห์นสัน & จอห์นสัน หรือแม้แต่แบรนด์คอนแท็กต์เลนส์อย่าง Activue ที่จัดอยู่ในหมวดหมู่เครื่องมือแพทย์ และยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมาย
โดยการที่ จอห์นสัน & จอห์นสัน ตัดสินใจแยกบริษัทออกเป็น 2 บริษัท ตามกลุ่มประเภทผลิตภัณฑ์และการดำเนินงาน จะส่งผลดีต่อธุรกิจมากกว่า เพราะจากเดิม ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคของบริษัทนั้นติดตลาดอยู่แล้ว
ส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่มการแพทย์ก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด 19 แต่ธุรกิจก็มีความเสี่ยงในแบบฉบับของตัวเอง
ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีว่า ธุรกิจกลุ่มการแพทย์นั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ยิ่งเติบโตเร็วยิ่งมีความเสี่ยงสูงในการที่จะเกิดความเสียหายได้ ทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
อีกทั้ง เมื่อแยกบริษัทออกจากกันแล้ว แต่ละบริษัทก็จะไม่มีภาระผูกพันทางคดีความต่อกัน เช่น บริษัทเกี่ยวกับยาและอุปกรณ์การแพทย์ ก็จะไม่ต้องรับผิดชอบต่อกรณีคดีแป้งปนเปื้อนของ จอห์นสัน & จอห์นสัน ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนประกอบของแร่ใยหิน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งรังไข่
ดังนั้น จึงเป็นการดีกว่า หากสามารถแยกการดำเนินงานออกจากกัน ทำให้เมื่อบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก จะสามารถควบคุมความเสียหายได้ง่าย และไม่ลุกลากไปยังยอดขายในภาพรวมของบริษัท
นอกจากนั้น ยังช่วยทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและความคล่องตัวที่มากกว่า นั่นเอง
โดยทางคุณ Alex Gorsky ได้กล่าวในแถลงการณ์ว่า
“จากการที่ได้ตรวจทานอย่างละเอียดแล้ว ทางคณะกรรมการและคณะผู้บริหาร เชื่อว่าการตัดสินใจแยกบริษัทออกจากกัน เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการเร่งเครื่องความพยายามของเรา ที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับคนไข้, ลูกค้า และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทุก ๆ คน
และการตัดสินใจครั้งนี้ ยังถือเป็นการสร้างโอกาสที่ดีในการสร้างทีมที่มีศักยภาพระดับโลก ซึ่งจะช่วยเร่งการเติบโตของบริษัท แต่ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพที่ดีให้กับคนทั่วทั้งโลก”
โดยทางบริษัทกล่าวว่า คาดว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการแยกบริษัท ภายใน 18 - 24 เดือน
ซึ่งบริษัทเกี่ยวกับด้านยาและเครื่องมือแพทย์ รวมไปถึงเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และ AI ที่ใช้ทางการแพทย์ จะยังคงใช้ชื่อบริษัทว่า “จอห์นสัน & จอห์นสัน (Johnson & Johnson)” และให้คุณ Joaquin Duato มาดำรงตำแหน่งประธานบริหาร
ส่วนคุณ Alex Gorsky จะดำรงตำแหน่งประธานบริหารของบริษัทใหม่ของ จอห์นสัน & จอห์นสัน ที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคต่อไป
แต่ทั้งนี้ ในส่วนของชื่อบริษัทใหม่ ทางบริษัทกล่าวว่ายังไม่ได้ตัดสินใจเลือกอย่างเป็นทางการ..
เป็นที่แน่นอนว่า เรื่องนี้จะทำให้บริษัท มีผลดีมากกว่าผลเสีย
แต่ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปว่า บริษัทใหม่ของ จอห์นสัน & จอห์นสัน จะชื่อว่าอะไร และการบริหารงานระยะยาวนั้น จะเป็นอย่างไร..
อ้างอิง :
-https://www.cnbc.com/2021/11/12/jj-shares-jump-after-ceo-says-health-giant-plans-to-break-up-in-wsj-report.html
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.