ทำไมคนยุคใหม่ ถึงสนใจ “คริปโท” มากกว่าทรัพย์สินอื่น ๆ

ทำไมคนยุคใหม่ ถึงสนใจ “คริปโท” มากกว่าทรัพย์สินอื่น ๆ

5 ธ.ค. 2021
ในช่วง 1-2 ปีนี้ที่โควิดได้ระบาดไปทั่วโลก ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนทางการเงินของใครหลาย ๆ คน
หลายคนมีเงินเก็บลดลงอย่างมาก เนื่องจากรายรับหายไปอย่างกระทันหัน
ในขณะที่บางคนก็มีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น เพราะไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศได้ ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยน้อยลง รวมถึงสินค้าหลายอย่างก็ลดราคา ทำให้ซื้อของได้ในราคาถูกลง
แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน ก็ได้ทำให้คนเริ่มหันมาสนใจเรื่องการลงทุนกันมากขึ้น เพื่อที่จะหาช่องทางสร้างรายได้อื่น ๆ นอกจากแหล่งรายได้เดิม, บริหารเงินเก็บให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย หรือนำเงินเก็บที่มีไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มความมั่งคั่ง
มีรายงานจาก YouTube ว่า คนไทยสนใจเนื้อหา “การเงิน” เพิ่มขึ้น 100%
ส่วน Twitter ก็รายงานสอดคล้องกันว่า คนไทยสนใจ “การออม-การลงทุน” เพิ่มขึ้น 94%
และปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ เวลานี้ ทรัพย์สินที่นักลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนยุคใหม่กำลังให้ความสนใจมากที่สุด ก็ไม่พ้น “คริปโทเคอร์เรนซี”
โดยจากข้อมูลพบว่า บัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย มีจำนวนประมาณ​ 1.4 ล้านบัญชี ซึ่งขยายตัวในอัตรา 27% ต่อเดือน
ในขณะที่บัญชีซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขยายตัวแค่ 3% ต่อเดือน
จริงอยู่ว่าที่บัญชีซื้อขายหุ้นมีอัตราการขยายตัวน้อยกว่า เพราะมีจำนวนบัญชีรวมทั้งหมดมากกว่าอยู่แล้ว
แต่ก็มองข้ามไม่ได้ว่า อัตราการขยายตัวของบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่สูงแบบก้าวกระโดด สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในคริปโทฯ จำนวนมากของคนยุคใหม่
และถ้าอิงจากผลสำรวจชิ้นหนึ่งในสหรัฐอเมริกา จะพบว่า Gen Y กว่า 49% และ Gen X กว่า 38% มีการลงทุนในคริปโทฯ
จึงไม่แปลกใจเลย หากเราเห็นคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนยุคใหม่ ที่แม้จะไม่เคยสนใจเรื่องการลงทุน ไม่เคยศึกษาและลงทุนในหุ้น หรือทรัพย์สินอื่น ๆ มาก่อน
กลับเลือกกระโดดเข้าสู่โลกคริปโทฯ ทันที..
ซึ่งหากเปรียบทรัพย์สินแต่ละประเภทเป็นเหมือนสินค้า
คำถามคือ เพราะอะไรคนยุคใหม่ ถึงกำลังสนใจสินค้าที่ชื่อ “คริปโทฯ” มากกว่าหุ้น หรือทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้, ทองคำ ?
จริง ๆ แล้วคำตอบของเรื่องนี้ ก็จะแตกต่างกันออกไป ตามเหตุผลของแต่ละคน
แต่ถ้าจะสรุปแบบคร่าว ๆ เพื่อให้เห็นภาพกัน ตัวอย่างเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้คริปโทฯ เป็นทรัพย์สินที่ครองใจคนยุคใหม่
1) เห็นผลเร็ว
ก็เหมือนกับสินค้าทั่วไปที่เรามักจะเลือกซื้อสินค้าที่เห็นผลเร็วมากกว่าสินค้ามีประโยชน์แต่เห็นผลช้า
บางคนเลือกซื้อยาลดน้ำหนักมากกว่าการทานอาหารคลีน หรือบางคนซื้อโลชันผสมไวท์เทนนิงมากกว่าที่จะทาครีมกันแดด
เราลองมาดูผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลังของแต่ละทรัพย์สิน
คริปโทเคอร์เรนซี 247%
หุ้นสหรัฐอเมริกา 31%
หุ้นจีน -17%
หุ้นไทย 35%
โดยปกติแล้ว การลงทุนในหุ้น แค่ทำผลตอบแทนเฉลี่ย 20% - 30% ต่อปีแบบทบต้น ก็ถือว่าเก่งและหาตัวจับได้ยากแล้ว
แต่ในโลกของคริปโทฯ การทำผลตอบแทน 100% - 1,000% ต่อปี อาจเป็นเรื่องปกติ
และก็มีบางเหรียญ ที่ปรับตัวขึ้นไป 3-5 เท่าตัว ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนเลยก็มี
จะเห็นได้ว่า คริปโทฯ ก็ดูจะเป็นสินค้าที่ “เห็นผลเร็ว” จริง ๆ
แต่ทั้งนี้ต้องตระหนักไว้ว่า คริปโทฯ ถึงจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นมาก แต่ก็มีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน
ดังนั้นจึงต้องศึกษาแต่ละเหรียญอย่างละเอียด ทั้งในด้านพื้นฐาน, โมเดลธุรกิจ, เทคโนโลยี, ผู้พัฒนา/ผู้สร้าง, ประโยชน์ของเหรียญ, อีโคซิสเต็มที่เกี่ยวข้อง, มูลค่าที่แท้จริง (หากประเมินได้) เป็นต้น ก่อนตัดสินใจลงทุน
2) เทคโนโลยี
ไม่ต่างอะไรกับรถยนต์ไฟฟ้าหรือสมาร์ตโฟน คนยุคใหม่รับรู้ว่าคริปโทฯ เป็นเทคโนโลยีที่จะมาแน่ ๆ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต ซึ่งจะมาปฏิวัติในหลาย ๆ วงการ และสร้างประโยชน์ให้กับหลาย ๆ ธุรกิจและสังคม
ดังนั้น พวกเขาจึงตระหนักได้ว่า ตัวเองควรจะต้องเข้าไปศึกษา และมีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตนี้เป็นกลุ่มแรก ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ตกขบวนและถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
3) ตื่นเต้น
คนยุคใหม่โตมากับความตื่นเต้นท้ายทายของเกมต่าง ๆ และอะไรที่ดูรวดเร็ว เช่น แฟชั่นที่เปลี่ยนใหม่อยู่เสมอ, อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง, การเข้าถึงข้อมูล ข่าว คอนเทนต์และสื่อต่าง ๆ ได้ทันทีด้วยปลายนิ้ว
การเปลี่ยนแปลงของราคาเหรียญวันละ 10% เป็นอะไรที่เห็นได้จนชินตาในโลกคริปโท แถมไม่ต้องมีข้อจำกัดด้าน Floor หรือ Ceiling เหมือนในตลาดหุ้น
และสามารถเทรด์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง วัน 7 วันต่อสัปดาห์
ในขณะที่กว่าหุ้นจะขยับขึ้น 10% บางทีต้องรอเป็นเดือน เป็นปี หรือมีเหตุการณ์สำคัญมากระทบ เช่น เกิดดีลซื้อขายกิจการ
จึงอาจทำให้คนยุคใหม่ที่ชอบความตื่นเต้น เกิดความรู้สึกว่าหุ้นนั้น “อืด” เกินไป และไม่น่าสนใจ
และยิ่งถ้าเกมมีความตื่นเต้นท้าทายมากเท่าไร เมื่อได้เป็นผู้ชนะ (ซื้อเหรียญแล้วเหรียญนั้น “มูน”) ก็ยิ่งทำให้รู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น และอยากชนะต่อไปอีกเรื่อย ๆ
4) FOMO
เมื่ออะไร ๆ ก็ดูน่าสนใจ ราคาและผลตอบแทน ก็เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ทำให้คนรอบตัวพากันพูดถึงคริปโทฯ แถมมีเพจใน Facebook หรือช่อง YouTube ที่เกี่ยวกับคริปโทฯ เกิดขึ้นมากมาย รวมถึงสำนักข่าว ต่างก็พากันเสนอข่าวคนที่ได้กำไรมหาศาลจากคริปโทฯ
ตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งลืมว่าเคยซื้อ Bitcoin ไว้ตั้งแต่ปี 2009 เป็นมูลค่า 1,000 บาท มาเปิดดูอีกทีในปี 2013 ถึงกับเกือบช็อก เพราะกลายเป็นมูลค่าเกือบ 30 ล้านบาท..
หรือเรื่องราวพิซซ่าในตำนาน เมื่อปี 2010 ที่มีลูกค้าเลือกที่จะจ่าย 10,000 Bitcoin แทนค่าพิซซ่าราคา 1,300 บาท
แต่มาในวันนี้ที่ Bitcoin ราคาเหรียญละ 1.9 ล้านบาท พิซซ่าถาดนั้น จะมีมูลค่าถึง 19,000 ล้านบาท..
นอกจากนี้ เพจและสื่อต่าง ๆ ยังมีการเผยแพร่ข่าวและความเคลื่อนไหวของราคาเหรียญที่กำลัง “มูน” หรือ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นระยะ ๆ
จากกระแสเหล่านี้ ทำให้หลาย ๆ คนเกิดอาการ FOMO (Fear Of Missing Out) หรือที่เรียกว่า “กลัวตกเทรนด์”
แม้แต่คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์การลงทุน ก็อยากจะกระโดดข้ามขั้นเข้าไปร่วมวงนี้ด้วย เพราะหวังว่าจะรวยเร็ว รวยง่าย ไม่ต้องวิเคราะห์ธุรกิจ ไม่ต้องอ่านงบการเงิน ไม่ต้องติดตามข่าวเศรษฐกิจ ซื้อขายตามเซียน ก็ได้กำไรแล้ว
ซึ่งในความจริงแล้ว การลงทุนในคริปโทฯ มีความซับซ้อนและมีอะไรต้องศึกษาอย่างละเอียดอีกมากมาย
5) Influencer
แปลตรงตัวก็คือ “ผู้มีอิทธิพล” ที่มีผลอย่างมากต่อผู้คนในโลกโซเชียล ยกตัวอย่างเช่น อีลอน มัสก์ เจ้าพ่อเทคโนโลยีที่มีคนติดตามบน Twitter มากกว่า 62 ล้านคนทั่วโลก
ที่มักจะทวีตข้อความเกี่ยวกับคริปโทฯ บ่อย ๆ รวมถึงเหรียญ “Dogecoin”
ซึ่งมีผลสำรวจชิ้นหนึ่งในสหรัฐอเมริกาพบว่า มีผู้ทำแบบสำรวจ 89% รู้จักคริปโทฯ
โดยรู้จัก Bitcoin มากที่สุด
แต่ที่น่าสนใจคือ ในผลสำรวจพบว่า มีคนรู้จัก Dogecoin มากกว่า Ethereum เสียอีก..
ทั้งที่ Ethereum เป็นเหรียญที่มีมูลค่าตลาดมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก Bitcoin
แถมยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานและแพลตฟอร์ม ที่ให้เหรียญอื่น ๆ อีกมากมาย มาสร้างแอปฯ และ Smart Contract บนบล็อกเชนของ Ethereum อีกด้วย
ขณะที่ Dogecoin มีมูลค่าตลาดอยู่ที่อันดับ 10 ของโลก
ซึ่งสาเหตุที่คนจำนวนมากรู้จัก Dogecoin ส่วนหนึ่งก็มาจากทวีตของ อีลอน มัสก์ นั่นเอง..
จะเห็นได้ว่า Influencer หรือเหล่าคนดัง ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนยุคใหม่สนใจและเข้าสู่วงการคริปโทฯ อย่างมากในทุกวันนี้
จากที่กล่าวมาทั้งหมด หากจะเปรียบคริปโทฯ ป็นเหมือนสินค้าตัวหนึ่ง
ก็คงเป็นสินค้าเทคโนโลยีแห่งอนาคต ที่มีความตื่นเต้นน่าสนใจ ล้ำสมัย และเห็นผลเร็วตั้งแต่ครั้งแรกที่ทดลองใช้
มีหลาย ๆ คนที่ได้ซื้อสินค้าชิ้นนี้หลังจากศึกษาผลิตภัณฑ์มาเป็นอย่างดีจนเข้าใจ
แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่เข้าไปซื้อสินค้าตัวนี้ ทั้งที่ตัวเองยังเข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน หรือไม่รู้ว่ามันมีเอาไว้ทำอะไร..
แน่นอนว่าการลงทุนอะไรก็ตามเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น
แต่ทางที่ดี แค่อย่าเข้าไปลงทุนเพียงเพราะตกเป็น “ทาสของการตลาด” ก็พอ​..
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.