วุ้นมะพร้าว “แม่ละมาย” เกิดได้จากวิกฤต

วุ้นมะพร้าว “แม่ละมาย” เกิดได้จากวิกฤต

2 พ.ย. 2019
วิกฤตต้มยํากุ้งในปี พ.ศ. 2540 เป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่ร้ายแรงสุดของประเทศไทย
ผู้ประกอบการจำนวนมากต่างล้มละลาย หรือมีหนี้สินท่วมหัว
สำหรับคนส่วนใหญ่ แค่คิดหาวิธีปลดหนี้ได้ ก็เต็มกลืนแล้ว
ซึ่งมีน้อยคนที่สามารถลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง และหนึ่งในนั้นคือ คุณวีระ ตั้งวุทฒิไกรวิทย์
เจ้าของกิจการ ขนมหวานวุ้นมะพร้าว ตรา “แม่ละมาย” ที่วางขายตาม 7-Eleven
ก่อนที่คุณวีระ จะมาทำวุ้นมะพร้าวขาย เขาเคยทำกิจการโรงพิมพ์มาก่อน
โดยรับพิมพ์พวกโบรชัวร์ และแคตตาล็อกต่างๆ
ถึงแม้กิจการจะไปได้ดี แต่เขาเร่งขยายธุรกิจมากเกินไป
ด้วยฐานธุรกิจที่ไม่มั่นคง เมื่อเจอพายุจากวิกฤตต้มยํากุ้ง
สุดท้ายตึกที่ชื่อว่าธุรกิจ ก็พังทลายจนไม่เหลืออะไร
เขาต้องยอมขายธุรกิจ เครื่องจักร และทุกอย่างแม้กระทั่งบ้าน เพื่อเอามาปลดหนี้
เมื่อไม่เหลืออะไรแล้ว เขาจึงเดินทางไปจังหวัดสุพรรณบุรี บ้านเกิดของภรรยา
เพื่อกลับไปตั้งหลัก และคิดทบทวนว่าชีวิตจะเอายังไงต่อไป
ตอนนั้น เขาคิดเพียงว่า ขอแค่หาอะไรทำ เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปวันๆ ก็พอ
ซึ่งเขาเลือกทำอาหารขาย เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เขาชอบและถนัด เอามาต่อยอดได้
โดยเริ่มเปิดร้านขาย ไก่ปิ้ง ทำได้เพียง 3 เดือน
ปรากฏว่าได้ผลตอบรับดีเกินคาด มีลูกค้ามาอุดหนุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เขาเลยรู้สึกภูมิใจ และคิดว่าการทำธุรกิจเกี่ยวกับของกิน เป็นเส้นทางที่เหมาะกับเขา
อย่างไรก็ตาม แม่ของคุณวีระไม่อยากให้เขาฆ่าสัตว์
ประกอบกับ คุณวีระมีความคิดที่ว่า น่าจะทำของกินที่นอกจากส่งมอบความสุขแล้ว
ต้องส่งมอบคุณค่าทางอาหารด้วย
เขาจึงปิดร้านไก่ปิ้ง แล้วมองหาธุรกิจใหม่ ซึ่งสุดท้ายก็ได้มาพบกับวุ้นมะพร้าว
เพราะตอนนั้น วุ้นมะพร้าวกำลังเป็นที่นิยม
และวุ้นมะพร้าวก็มีคุณค่าทางอาหาร มีเซลลูโลส และใยอาหารสูง
ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการทำเป็นธุรกิจ
แต่วุ้นมะพร้าวส่วนใหญ่ที่วางขายกัน จะมีการฟอกขาว และแต่งสี แต่งกลิ่นเข้าไป เพื่อให้ดูน่าทาน
ซึ่งมันขัดต่อ ความเชื่อเรื่องการส่งมอบคุณค่าทางอาหารของเขา
เขาจึงตั้งใจผลิตวุ้นมะพร้าวที่ไม่ใส่สารเคมี
และใส่พวกธัญพืช หรือพวกผลไม้ลงไปแทน เช่น ผสมเม็ดแมงลัก, ถั่วแดง, สัปปะรด เพื่อสร้างความแตกต่างในรสชาติ กลิ่น และรูปลักษณ์ของสินค้า
เริ่มแรกกิจการวุ้นมะพร้าว เริ่มต้นด้วยทุน 40,000 บาท ซึ่งเป็นเงินจากคนในครอบครัวช่วยกันออก
และใช้ชื่อแบรนด์ว่า ‘แม่ละมาย’ ตามชื่อแม่ยาย ของเขา
เขากับภรรยาช่วยกันทำวุ้นมะพร้าวเองกับมือ และส่งจำหน่ายตามร้านมินิมาร์ทแถวบ้านและจังหวัดใกล้เคียง
โดยส่งขายได้วันละ 200-300 ถ้วย
พอกระแสตอบรับสินค้าเริ่มดี เขาเลยคิดว่าควรมองหาตลาดที่ใหญ่กว่านี้
ซึ่ง 7-Eleven เป็นช่องทางที่เขาสนใจเป็นพิเศษ เพราะตอนนั้นมีประมาณ 1,000 สาขา
และเห็นว่ามีโอกาสเติบได้อีกมาก
ซึ่งเขาก็คิดถูก ปัจจุบัน 7-Eleven มีมากกว่า 10,000 สาขา..
แต่การจะนำสินค้าเข้าไปวางขายใน 7-Eleven ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกจากตัวสินค้าต้องดีแล้ว ยังต้องผ่านด่าน ทั้งระบบบริหารจัดการ กระบวนการผลิต แพ็กเกจจิง และมาตรฐานต่างๆ ที่กำหนด
ไม่ต่างจากในหนังเรื่อง ท็อป ซีเคร็ต วัยรุ่นพันล้าน
ซึ่งเขาต้องยกเครื่องการผลิตและบริหารจัดการใหม่ทั้งหมด
แต่สุดท้าย วุ้นมะพร้าวแม่ละมาย ก็ได้วางจำหน่าย 7-Eleven ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542
โดยทดลองส่งแค่ 20 สาขาก่อน
มาดูรายได้ของ หจ. แม่ละมาย
ปี 2559 มีรายได้ 60 ล้านบาท
ปี 2560 มีรายได้ 73 ล้านบาท
ปี 2561 มีรายได้ 83 ล้านบาท
จากการขยายกำลังการผลิต และเพิ่มจำนวนสาขาวางจำหน่ายเรื่อยมา
ปัจจุบัน แม่ละมาย มีกำลังการผลิตที่ 50,000 - 70,000 ถ้วยต่อวัน
และจำหน่ายผ่าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ
โดยสินค้า แม่ละมาย ที่วางจำหน่าย ได้แก่ วุ้นน้ำมะพร้าวผสมเม็ดแมงลัก, วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำลำไย, วุ้นรวมมิตรในน้ำแดง, เครื่องดื่มเม็ดแมงลักผสมวุ้นมะพร้าวในน้ำแดง, ลูกตาลลอยแก้ว, ถั่วเขียวต้มน้ำตาล
อย่างไรก็ตาม แม่ละมาย ยังยึดติดกับช่องทางจำหน่าย 7-Eleven เจ้าเดียว
แม้ว่าสินค้าติดตลาดแล้ว และมีคนมาติดต่อขอนำไปขาย
แต่คุณวีระไม่ได้ขายให้ โดยให้เหตุผลว่า ลำพังส่งเข้า 7-Eleven กำลังการผลิตก็เต็มที่แล้ว
อีกทั้ง แบรนด์แม่ละมาย เกิดมาพร้อมกับ 7-Eleven เขาจึงอยากอยู่เป็นหุ้นส่วนต่อไป
ส่วนเส้นทางในอนาคตของ แม่ละมาย
บริษัทได้สร้างโรงงานใหม่แบบระบบสเตอริไรซ์ และกำลังพัฒนาสินค้าใหม่ๆ
ที่สินค้ามีอายุนานขึ้นเป็น 1 - 1.5 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น
เพื่อเน้นตลาดส่งออกโดยเฉพาะ ทั้งตะวันออกกลาง อเมริกา ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เมียนมา ฯลฯ
โดยตั้งเป้าให้สัดส่วนรายได้การส่งออกเป็น 60% และขายในประเทศเป็น 40%
และเป้าหมายสุดท้ายของบริษัท คือ การนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์..
เรื่องราวนี้เป็นแรงบันดาลใจที่ดี
เวลาเราต้องเผชิญกับปัญหานานา ให้นึกถึง คุณวีระ และแม่ละมาย
เขาเคยประสบวิกฤตที่สาหัส จนไม่เหลืออะไร และต้องเริ่มต้นใหม่ตอนอายุไม่น้อย
แต่ไม่ว่าปัญหาจะร้ายแรงขนาดไหน เขาก็ผ่านมันมาได้
ก็เหมือนกับชีวิตเรา ที่ต้องพบกับปัญหา หรือความล้มเหลวที่เข้ามาทุกช่วงของชีวิต
เพียงแค่เราตั้งสติ ยืนเผชิญหน้ากับปัญหา แล้วค่อยๆ คิดหาวิธีการแก้
สุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร มันก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กสำหรับเรา
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.