
ทำไมจังหวัดที่มีทะเลอยู่แล้ว ถึงต้องมีสวนน้ำ ?
2 ก.ค. 2022
“การท่องเที่ยว” ถือเป็นจุดเด่นที่สร้างรายได้มหาศาล และเป็นเสาหลักให้กับประเทศไทย มาอย่างยาวนาน
โดยเฉพาะ “ทะเลไทย” ที่มีภูมิทัศน์อันสวยงาม และธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์
โดยเฉพาะ “ทะเลไทย” ที่มีภูมิทัศน์อันสวยงาม และธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์
จึงไม่แปลกที่ทะเลไทย จะกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก..
หากลองดูสถิติการท่องเที่ยวในปี 2020 ที่ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 537,794 ล้านบาท โดยไม่นับกรุงเทพมหานคร
สะท้อนให้เห็นว่าภาคการท่องเที่ยว สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจังหวัดที่มีทะเลเป็นจุดขายจะมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก เช่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจังหวัดที่มีทะเลเป็นจุดขายจะมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก เช่น
ภูเก็ต มีรายได้จากการท่องเที่ยว 108,464 ล้านบาท
ชลบุรี มีรายได้จากการท่องเที่ยว 62,499 ล้านบาท
ประจวบคีรีขันธ์ มีรายได้จากการท่องเที่ยว 18,021 ล้านบาท
ชลบุรี มีรายได้จากการท่องเที่ยว 62,499 ล้านบาท
ประจวบคีรีขันธ์ มีรายได้จากการท่องเที่ยว 18,021 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่าแค่ 3 จังหวัดนี้ ก็สามารถสร้างรายได้จากภาคการท่องเที่ยวได้รวมกันถึง 188,984 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.1% ของ 537,794 ล้านบาท ที่เป็นรายได้รวมของภาคการท่องเที่ยวทั่วประเทศ
(ไม่รวมกรุงเทพมหานคร)
(ไม่รวมกรุงเทพมหานคร)
และเป็นเรื่องน่าแปลกที่ทั้ง 3 จังหวัด ซึ่งมีทะเลเป็นจุดขายทั้งหลายกลับมี “สวนน้ำ” อยู่ด้วยแทบจะทุกจังหวัด
ไม่ว่าจะเป็น สวนน้ำ Vana Nava ที่หัวหิน, สวนน้ำรามายณะ ที่พัทยา และล่าสุดสวนน้ำ Andamanda ที่เพิ่งเปิดให้บริการที่ภูเก็ต..
ไม่ว่าจะเป็น สวนน้ำ Vana Nava ที่หัวหิน, สวนน้ำรามายณะ ที่พัทยา และล่าสุดสวนน้ำ Andamanda ที่เพิ่งเปิดให้บริการที่ภูเก็ต..
แล้วทำไมจังหวัดที่มีทะเลให้เล่นน้ำอยู่แล้วเหล่านี้ ถึงยังต้องมีสวนน้ำอีก ?
เรื่องนี้คงต้องไปดูโมเดลของเมืองท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย ที่มักจะประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยหลัก ๆ นั่นก็คือ
- แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
- แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
- แหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น
- แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
- แหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น
ซึ่งประเทศไทยก็สามารถตอบโจทย์การท่องเที่ยวได้แทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ธรรมชาติที่สวยงาม
และวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์
และวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์
แต่หากพูดถึง Man-Made Destination หรือแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น เรียกได้ว่ามีน้อยมาก ถ้าเทียบกับประเทศที่เป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวด้วยกันเอง
ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทยมาเสมออย่าง ประเทศญี่ปุ่น
ก็เป็นอีกประเทศที่มีทั้ง 3 ปัจจัยนี้ครบ
ก็เป็นอีกประเทศที่มีทั้ง 3 ปัจจัยนี้ครบ
เพราะญี่ปุ่นมีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม เช่น ภูเขาไฟฟูจิ
มีแหล่งวัฒนธรรมที่น่าค้นหาอย่างวัดวาอารามต่าง ๆ อาหารการกิน
และยังมี Man-Made Destination สุดยิ่งใหญ่อย่าง Disneyland รวมไปถึงสวนสนุก Universal ด้วย
มีแหล่งวัฒนธรรมที่น่าค้นหาอย่างวัดวาอารามต่าง ๆ อาหารการกิน
และยังมี Man-Made Destination สุดยิ่งใหญ่อย่าง Disneyland รวมไปถึงสวนสนุก Universal ด้วย
ดังนั้นในเมื่อเรารู้แล้วว่าเมืองไทยยังขาด Man-Made Destination อยู่
คำถามต่อไปคือ Man-Made Destination แบบไหนถึงจะเหมาะกับตลาดอย่างประเทศไทย ?
คำถามต่อไปคือ Man-Made Destination แบบไหนถึงจะเหมาะกับตลาดอย่างประเทศไทย ?
การจะสร้างสวนสนุกมาใช้ดึงดูดนักท่องเที่ยวแบบที่ญี่ปุ่นทำนั้น ก็ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับประเทศไทย
อย่างแรกเลย คงเป็นเพราะสภาพอากาศของประเทศไทย ที่ร้อนแทบตลอดทั้งปี ไม่เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง จึงทำให้ช่วงที่มีคนมาใช้บริการจะไปอยู่ในช่วงหน้าหนาวเป็นส่วนใหญ่
อย่างต่อมาคือ สวนสนุกใช้ต้นทุนสูงมาก
ยกตัวอย่างเช่น ต้นทุนในการสร้างสวนสนุกระดับ Disneyland
ก็ต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่าระดับ 20,000 ล้านบาทแน่ ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ต้นทุนในการสร้างสวนสนุกระดับ Disneyland
ก็ต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่าระดับ 20,000 ล้านบาทแน่ ๆ
ซึ่งแน่นอนว่าการลงทุนในระดับนี้ ย่อมมาพร้อมกับค่าบริการที่สูง เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายรวมของกิจการ
รวมไปถึงต้องทำราคาให้ธุรกิจมีกำไร เช่น บัตร 1-Day Passport ของ Disneyland ที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1,800-4,800 บาท
รวมไปถึงต้องทำราคาให้ธุรกิจมีกำไร เช่น บัตร 1-Day Passport ของ Disneyland ที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1,800-4,800 บาท
ราคาดังกล่าวถึงแม้กลุ่มลูกค้า “ชาวต่างชาติ” จะมีกำลังซื้อได้สบาย ๆ
แต่สำหรับคนท้องถิ่นอย่างคนไทยที่มีรายได้ขั้นต่ำอยู่ที่ 325 บาทต่อวัน กลับดูจะไม่ค่อยสนุกสักเท่าไร
แต่สำหรับคนท้องถิ่นอย่างคนไทยที่มีรายได้ขั้นต่ำอยู่ที่ 325 บาทต่อวัน กลับดูจะไม่ค่อยสนุกสักเท่าไร
แล้วธุรกิจอะไรที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่าการสร้างสวนสนุก แถมเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
รวมไปถึงต้องมีราคาค่าตั๋วที่ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ต่างมาใช้บริการได้ ?
รวมไปถึงต้องมีราคาค่าตั๋วที่ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ต่างมาใช้บริการได้ ?
ซึ่งคำตอบก็คือ “สวนน้ำ” เพราะธุรกิจประเภทนี้เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย จึงทำให้ธุรกิจมีโอกาสสร้างรายได้สม่ำเสมอ
ยกตัวอย่างเช่น สองสวนสนุกอันดับต้น ๆ ของไทยอย่าง ดรีมเวิลด์ และสยามอะเมซิ่งพาร์ค
ก็มีการใช้สวนน้ำมาเสริมธุรกิจสวนสนุกของตัวเอง
กระตุ้นให้คนเข้ามาใช้บริการมากขึ้นในช่วงที่อากาศร้อน ที่คนไม่ค่อยมาเล่นสวนสนุกนั่นเอง
ก็มีการใช้สวนน้ำมาเสริมธุรกิจสวนสนุกของตัวเอง
กระตุ้นให้คนเข้ามาใช้บริการมากขึ้นในช่วงที่อากาศร้อน ที่คนไม่ค่อยมาเล่นสวนสนุกนั่นเอง
รวมไปถึงธุรกิจสวนน้ำ ยังใช้ต้นทุนในการสร้างไม่สูงเท่ากับสวนสนุก จึงทำให้สามารถทำราคาค่าตั๋วให้เหมาะสมสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติได้อีกด้วย
ในเมื่อโจทย์คือการขายทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ
ดังนั้น “สถานที่ตั้ง” จึงเป็นที่ไหนไปไม่ได้เลย นอกจากเมืองที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาเฉลี่ยต่อปีสูงที่สุด..
นั่นก็คือ ภูเก็ต, พัทยา และประจวบคีรีขันธ์ ตามลำดับ
ดังนั้น “สถานที่ตั้ง” จึงเป็นที่ไหนไปไม่ได้เลย นอกจากเมืองที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาเฉลี่ยต่อปีสูงที่สุด..
นั่นก็คือ ภูเก็ต, พัทยา และประจวบคีรีขันธ์ ตามลำดับ
โดยในปี 2020 มีรายงานว่า เมืองท่องเที่ยวเหล่านี้ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จำนวนมาก
ภูเก็ต มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2,110,854 คน
ชลบุรี มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,458,336 คน
ประจวบคีรีขันธ์ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 188,649 คน
ภูเก็ต มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2,110,854 คน
ชลบุรี มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,458,336 คน
ประจวบคีรีขันธ์ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 188,649 คน
จึงเป็นที่มาของการที่เรามักเห็นธุรกิจสวนน้ำ ตั้งอยู่ในเมืองที่มีทะเลอยู่แล้วนั่นเอง..
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ธุรกิจสวนน้ำดูจะซบเซาอย่างหนัก จากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่ผ่านมา
เพราะชาวต่างชาติซึ่งเป็นลูกค้าหลักของธุรกิจสวนน้ำไม่สามารถเข้ามาท่องเที่ยวได้
เพราะชาวต่างชาติซึ่งเป็นลูกค้าหลักของธุรกิจสวนน้ำไม่สามารถเข้ามาท่องเที่ยวได้
จนกลายเป็นว่า ณ ตอนนี้ธุรกิจสวนน้ำทั้งหลาย ต้องหวังพึ่งคนไทยไปก่อน จนกว่าการท่องเที่ยวจะกลับมา
แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าราคาค่าตั๋วเฉลี่ยที่ 1,000 บาทต้น ๆ ก็ยังดูสูงเกินไปสำหรับคนไทยอยู่ดี
รวมไปถึงตำแหน่งที่ตั้งในเมืองท่องเที่ยวทั้งหลายที่เข้าถึงได้ยากมาก ถ้าไม่มีรถยนต์ส่วนตัว
ทั้งค่ารถ ค่าตั๋ว และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในสวนน้ำ ที่มักมีราคาสูงกว่าร้านค้าด้านนอก
ก็เป็นดั่งกำแพงชั้นดีที่ทำให้คนไทยไม่ค่อยอยากมาใช้บริการ
ก็เป็นดั่งกำแพงชั้นดีที่ทำให้คนไทยไม่ค่อยอยากมาใช้บริการ
สรุปก็คือ กลุ่มลูกค้าชาวไทยไม่สามารถแบกธุรกิจสวนน้ำได้
รวมไปถึงภาคการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมในเร็ว ๆ วันนี้
รวมไปถึงภาคการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมในเร็ว ๆ วันนี้
จึงไม่แปลกเลยที่จะทำให้สวนน้ำหลายแห่ง ต้องแบกรับการขาดทุน
เช่น สวนน้ำ Vana Nava ที่ในปี 2564 ขาดทุนกว่า 344 ล้านบาท
เช่น สวนน้ำ Vana Nava ที่ในปี 2564 ขาดทุนกว่า 344 ล้านบาท
จนกระทั่งสวนน้ำบางแห่ง ถึงขนาดต้องประกาศปิดกิจการกันแบบไม่มีกำหนด
อย่างสวนน้ำ Santorini และสวนน้ำ Cartoon Network
อย่างสวนน้ำ Santorini และสวนน้ำ Cartoon Network
ก็ต้องมาลุ้นกันว่า หลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ 100% แล้ว
ธุรกิจสวนน้ำจะยังชุ่มฉ่ำเหมือนปีแรก ๆ
ธุรกิจสวนน้ำจะยังชุ่มฉ่ำเหมือนปีแรก ๆ
หรือจะแห้งเหือดกลายเป็นไอน้ำในความทรงจำ
ให้ผู้คนถามกันทุกครั้งเวลานั่งรถผ่านว่า “อ้าว สวนน้ำแห่งนี้ปิดไปแล้วเหรอ”
ให้ผู้คนถามกันทุกครั้งเวลานั่งรถผ่านว่า “อ้าว สวนน้ำแห่งนี้ปิดไปแล้วเหรอ”