เผยโฉม iPhone 14 มีอะไรน่าสนใจบ้าง ? ไทยวางขายจริง 16 ก.ย. นี้

จบกันไปแล้วกับงาน Apple Event Far Out ที่ทาง Apple จัดขึ้นเพื่อเผยโฉมผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่สายตาชาวโลก ไม่ว่าจะเป็น
-Apple Watch Series 8
-Apple Watch SE รุ่นใหม่
-Apple Watch Ultra
-AirPods Pro 2

และพระเอกของงานอย่าง “iPhone 14” ที่สาวกทั่วโลกต่างรอคอย

สำหรับผลิตภัณฑ์ตระกูล iPhone 14 จะมีด้วยกัน 4 รุ่น
iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
(ไม่มี iPhone mini)
ซึ่งทุกรุ่น มากับช่องเสียบชาร์จแบบ Lightning..

-iPhone 14

ดีไซน์และหน้าตาไม่ต่างจาก iPhone 13
มีขนาดหน้าจอเท่าเดิมที่ 6.1 นิ้ว (460 ppi)

กล้องหลัง 2 ตัว = Wide 12MP + Ultra Wide 12MP เรียงกันในแนวทแยง
ซึ่งปรับปรุงกล้องและเซนเซอร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ่ายที่มืดได้ดีขึ้น

ใช้ชิป​ A15 เหมือนเดิม แต่เป็นเวอร์ชันที่ใช้ใน iPhone 13 Pro ที่เป็น GPU 5-core ซึ่งมีประสิทธิภาพกราฟิกดีขึ้น (คนละตัวกับของ iPhone 13 ที่ใช้ GPU 4-core)

-iPhone 14 Plus

ดีไซน์ หน้าตา และสเปกเหมือนกับ iPhone 14 เพียงแต่ขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 6.7 นิ้ว (458 ppi)
และใช้ชิป​ A15 เช่นเดียวกับ iPhone 14

ทั้งรุ่น iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ยังคงมีรอยบากบนหน้าจอเหมือนเดิม..
แต่เพิ่มเติมคือ มีฟีเชอร์ใหม่เข้ามา เช่น

-Emergency SOS via satellite รองรับสัญญาณผ่านดาวเทียม สำหรับการติดต่อฉุกเฉิน (เริ่มแรกใช้ได้ในสหรัฐฯ และแคนาดา ก่อน)
-Crash Detection ตรวจจับเหตุรถชนอย่างรุนแรง และจะโทรหาบริการฉุกเฉิน พร้อมกับแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในรายชื่อติดต่อฉุกเฉิน

สำหรับสีของ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus
มี 5 สีให้เลือก ได้แก่ สีม่วง, มิดไนท์, สตาร์ไลท์, แดง และฟ้า

ส่วนความจุมีให้เลือก 128GB / 256GB / 512GB

-iPhone 14 Pro

มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว (460 ppi) เท่ากับรุ่นก่อน
แต่ไฮไลต์ มากับดีไซน์แบบใหม่ ไร้รอยบากบนหน้าจอแล้ว..
โดยเปลี่ยนรอยบาก มาเป็นการเจาะรูบนหน้าจอในรูปแบบแคปซูลแนวยาวแทน คล้ายรูปทรงเม็ดยา

ที่น่าสนใจคือ มากับฟีเชอร์ใหม่ “Dynamic Island” ซึ่งจะเพิ่มลูกเล่นให้กับรูบนหน้าจอ..
โดยจะทำ UI ให้การแจ้งเตือน และไอคอนต่าง ๆ ที่ปรากฎขึ้นมา ผสานกับรูบนหน้าจอได้อย่างแนบเนียน และทำให้ดูเหมือนว่า รูบนหน้าจอ สามารถขยายใหญ่ หรือ ยาวขึ้นได้ ตามไอคอนที่ปรากฎ

ส่วนชิปประมวลผล มากับชิปใหม่ A16 Bionic (CPU แบบ 6-core และ GPU แบบ 5-core) ที่ทำงานเร็วขึ้นและประหยัดพลังงานขึ้น

Apple บอกว่า ชิป A16 แรงกว่าสมาร์ตโฟนแบรนด์อื่นในตลาดถึง 40% ในด้าน CPU
และ 50% ในด้าน GPU (สำหรับ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max)

หน้าจอมีอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz
มีคุณสมบัติหน้าจอแบบติดตลอด (Always-On Display)

กล้องหลัง 3 ตัว = Wide 48MP + Ultra Wide 12MP + Telephoto 12MP
มีการขยายเซ็นเซอร์ และปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น ถ่ายภาพในที่มืดได้ดีขึ้น แถมประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย

รองรับฟีเชอร์ Emergency SOS via satellite และ Crash Detection

-iPhone 14 Pro Max

มีดีไซน์เหมือนกับ iPhone 14 Pro ที่หน้าจอไร้รอยบาก แต่มีรูทรงแคปซูลบนหน้าจอแทน พร้อมลูกเล่น “Dynamic Island”
และมากับชิป A16 Bionic (CPU แบบ 6-core และ GPU แบบ 5-core)

เพียงแต่มีขนาดจอใหญ่กว่า โดยมีขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว (460 ppi)

หน้าจอมีอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz
มีคุณสมบัติหน้าจอแบบติดตลอด (Always-On Display)

กล้องหลัง 3 ตัว = Wide 48MP + Ultra Wide 12MP + Telephoto 12MP
มีการขยายเซ็นเซอร์ และปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น ถ่ายภาพในที่มืดได้ดีขึ้น แถมประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย

รองรับฟีเชอร์ Emergency SOS via satellite และ Crash Detection

สำหรับสีของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
มี 4 สีให้เลือก ได้แก่ สีดำสเปซแบล็ค, ม่วงเข้ม, ทอง และเงิน

ส่วนความจุมีให้เลือก 128GB / 256GB / 512GB / 1TB

นอกจากนี้ iPhone 14 ทุกรุ่น มากับแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
เทคโนโลยี 5G เร็วและประหยัดพลังงานมากขึ้น
จอภาพแบบ Super Retina XDR ที่สว่างขึ้น

รองรับเทคโนโลยีสแกนใบหน้า Face ID และกล้องหน้ามีความละเอียด 12MP
และตัวเครื่องทนน้ำและฝุ่น ที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)

ส่วนราคาของ
iPhone 14 เริ่มต้น 32,900 บาท
iPhone 14 Plus เริ่มต้น 37,900 บาท
iPhone 14 Pro เริ่มต้น 41,900 บาท
iPhone 14 Pro Max เริ่มต้น 44,900 บาท

โดยสำหรับประเทศไทย.. ปีนี้อยู่ในกลุ่ม Tier 1
ดังนั้น iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
จะเริ่มให้สั่งซื้อล่วงหน้า วันที่ 9 กันยายน ตั้งแต่เวลา 19.00 น.

ซึ่ง iPhone 14, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
เริ่มวางจำหน่ายจริง วันที่ 16 กันยายน

ส่วน iPhone 14 Plus เริ่มวางจำหน่ายจริง วันที่ 7 ตุลาคม