วิเคราะห์แนวโน้ม “ธุรกิจค้าปลีก” ปี 2566 จะขยายตัวแค่ไหน และต้องเจอความท้าทายอะไรบ้าง ?

วิเคราะห์แนวโน้ม “ธุรกิจค้าปลีก” ปี 2566 จะขยายตัวแค่ไหน และต้องเจอความท้าทายอะไรบ้าง ?

28 ธ.ค. 2022
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าตลาดค้าปลีกปี 2566 จะขยายตัวอยู่ที่ราว 2.8% - 3.6% ชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า ที่คาดว่าจะขยายตัวราว 6.4% เนื่องจากผลของภาวะเงินเฟ้อ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
โดยการเติบโตในปี 2566 นอกจากผลของราคาสินค้าที่ยังมีอยู่ การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ผลของมาตรการช้อปดีมีคืน 40,000 บาท ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566 และการใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในช่วงการเลือกตั้ง
น่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ภาพรวมของตลาดค้าปลีก ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2566
ทั้งนี้ แรงหนุนจากมาตรการช้อปดีมีคืน ที่อาจจะกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้บางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้เฉลี่ยตั้งแต่ 30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และกิจกรรมการใช้จ่าย ที่คงถูกกระตุ้นในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป ที่อาจเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม น่าจะหนุนการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในช่วงครึ่งแรกปี 2566
ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภายหลังผ่านพ้นกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว ในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงต้องรอติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์ค่าครองชีพที่ยังสูง ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง
ส่งผลให้การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในปี 2566 แม้จะให้ภาพที่ขยายตัวต่อเนื่อง แต่คงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง และยังเผชิญกับโจทย์ท้าทายรอบด้าน ซึ่งจะมีผลต่อการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกในแต่ละ Segment ที่แตกต่างกัน
1) กลุ่มค้าปลีก ที่คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี เมื่อเทียบกับค้าปลีก Segment อื่น ๆ
- ห้างสรรพสินค้า (Department store) และร้านสะดวกซื้อ (Convenience store)
เป็น Segment ค้าปลีกที่คาดว่า จะยังคงฟื้นตัวได้ดีกว่าค้าปลีกในกลุ่มค้าปลีก Segment อื่น ๆ หลังจากที่หดตัวสูงในช่วงปี 2563-2564 จากการระบาดของโควิด
โดยการฟื้นตัวดังกล่าว เป็นผลจากการทยอยกลับมาของลูกค้าหลักอย่างกลุ่ม พนักงานออฟฟิศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่กลับเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น
- ซูเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket) โดยเฉพาะสาขาที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า
คาดว่าจะยังคงขยายตัวใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากเป็น Segment ค้าปลีกที่เน้นจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน
และส่วนใหญ่เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อปานกลางขึ้นบน ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีศักยภาพในการใช้จ่ายของธุรกิจค้าปลีก
2) กลุ่มค้าปลีก ที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลงจากฐานที่สูงในปี 2565
- ค้าปลีกภูธร (Local brand) ที่ร่วมลงทุนโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ (หรือที่เรียกกันว่าค้าปลีกแถว 2)
คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ชะลอลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ที่น่าจะได้อานิสงส์จากการเลือกตั้ง ที่เม็ดเงินจะกระจายไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ ในต่างจังหวัด
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังคงมีแผนการขยายสาขาใหม่ ภายใต้แบรนด์ของตนเอง และมีสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัด โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าแบรนด์รองหรือแบรนด์ราคาประหยัด
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอาจจะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นกับผู้เล่นค้าปลีกสมัยใหม่ ที่มีการปรับ Model ของธุรกิจ โดยการหันไปเจาะตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นเช่นกัน
- ค้าปลีกออนไลน์ หรือ E-Commerce
คาดว่าจะยังคงขยายตัวแต่ในอัตราที่ชะลอลง หลังจากที่ได้เร่งตัวสูงด้วยอัตราเลข 2 หลักไปในช่วงโควิดแล้ว
นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้บริการ E-Commerce รายใหม่ น่าจะเริ่มอิ่มตัว หลังจากที่เข้ามาจำนวนมากแล้วก่อนหน้านี้ โดยสินค้าที่คาดว่าจะยังเติบโตได้ น่าจะเป็นหมวดของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน อย่างพวกอาหาร (อาหารสด อาหารแห้ง) เครื่องดื่ม และของใช้ส่วนตัว
ส่วนกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะยังคงเติบโตได้จำกัด เป็นหมวดแฟชั่น (เสื้อผ้า กระเป๋า) และความงาม เป็นต้น
3) กลุ่มค้าปลีกที่คาดว่าจะเผชิญความยากลำบากในการแข่งขัน
- ไฮเปอร์มาร์เก็ต (Hypermarket) หรือดิสเคาน์สโตร์
แม้ว่าจะได้อานิสงส์ จากการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค แต่การดำเนินธุรกิจยังคงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อปานกลางลงมา
อีกทั้งยังเผชิญการแข่งขันกับค้าปลีกภูธร ที่พยายามปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด รวมถึงเขตปริมณฑล ซึ่งมีจุดแข็งในเรื่องของสินค้าแบรนด์รองหรือแบรนด์ราคาประหยัด ส่งผลต่อการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
- โชห่วย
ยังคงเป็น Segment ค้าปลีกที่เผชิญกับความยากลำบากในการสร้างยอดขาย เนื่องจากต้องแข่งขันรุนแรงกับผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากสินค้าที่จำหน่ายไม่ได้แตกต่างกัน ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจในระยะข้างหน้าเต็มไปด้วยความท้าทาย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในปี 2566 ธุรกิจค้าปลีก ยังคงเผชิญกับต้นทุนที่ยังอยู่ในระดับสูง
รวมถึงการแข่งขันที่ยังคงยากลำบาก โดยเฉพาะตลาดในประเทศที่การบริโภคโดยรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
- ต้นทุนที่สูงขึ้น
แม้ว่าต้นทุนบางตัว เช่น ต้นทุนพลังงาน จะย่อลงตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อาจปรับตัวลดลง
แต่ผู้ประกอบการค้าปลีกก็ยังเผชิญกับต้นทุนอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เช่น ค่าแรงงาน ค่าไฟ
ในขณะที่การปรับขึ้นราคาสินค้าให้สอดรับกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคบางรายการที่เป็นสินค้าควบคุมอาจจะ ทำได้ไม่เต็มที่
- การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
จำนวนผู้ประกอบการค้าปลีกที่ยังคงเพิ่มขึ้น (ทั้งในแง่ของผู้เล่นรายใหม่และการขยายสาขาเพิ่มขึ้นของผู้เล่นรายเดิม) ท่ามกลางความแตกต่างของสินค้าและบริการของค้าปลีกในแต่ละ Segment ที่เริ่มน้อยลงหรือไม่แตกต่างกันมากนัก
ขณะที่การใช้จ่ายหรือการบริโภคของผู้บริโภคในประเทศ ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหรือมีนัยสำคัญ
ผู้บริโภคมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์น้อยลง และมีทางเลือกมากขึ้น ส่งผลให้การแย่งชิงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีศักยภาพเริ่มจำกัดและแข่งขันกันรุนแรงขึ้น
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การเติบโตของค้าปลีกในปี 2566 หรือระยะสั้น (Short-term) น่าจะฟื้นตัวหรือเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก ภายใต้ความท้าทายในปัจจุบันที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องของต้นทุนและการแข่งขัน
ขณะที่ระยะข้างหน้า รูปแบบของการทำธุรกิจค้าปลีก หรือ Landscape น่าจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร ที่เข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ อัตราการเกิดใหม่ของประชากรที่ลดลง เทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมและการดำเนินธุรกิจในอนาคต
- ตลาดค้าปลีกในกรุงเทพฯ จะเริ่มแน่นและอิ่มตัว รวมถึงขยายตัวได้ยากขึ้น
ทำให้ผู้ประกอบการแต่ละราย เริ่มขยายแผนการลงทุนไปในต่างจังหวัดมากขึ้น
โดยทำการปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับพฤติกรรมของคนในต่างจังหวัด ทั้งในเรื่องของสินค้า และการให้บริการ ส่งผลให้ค้าปลีกภูธร น่าจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในอนาคต
- การดำเนินธุรกิจค้าปลีกภายใต้การร่วมมือ (Partner) หรือร่วมลงทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ตั้งแต่ผู้ผลิตหรือซัปพลายเออร์ ระบบการเงินที่นอกจากจะอำนวยความสะดวกในเรื่องของระบบชำระเงินแ ล้ว
ยังหมายถึงการช่วยคัดกรองหรือการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ หรืออยู่ในกลุ่ม Partner เดียวกัน ไปจนถึงระบบการบริหารจัดการโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการทำธุรกิจในยุค Omni-channel
- ผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือกลุ่ม Modern trade จะมองหาโอกาสทางการตลาดในต่างประเทศในสัดส่วนที่มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่ยังมีศักยภาพในการเติบโต เมื่อเทียบกับตลาดในประเทศที่การบริโภคเริ่มอิ่มตัว หรือไม่ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต เช่น เวียดนาม, อินโดนีเซีย
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.