4 วิธีเช็กว่า ธุรกิจของเรา ยังมี “อนาคตให้ไปต่อ” หรือควร “พอแค่นี้” ?

4 วิธีเช็กว่า ธุรกิจของเรา ยังมี “อนาคตให้ไปต่อ” หรือควร “พอแค่นี้” ?

14 มิ.ย. 2023
ในโลกธุรกิจ บางครั้งเทรนด์ต่าง ๆ หรือพฤติกรรมและความชื่นชอบของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าลองลิสต์เทรนด์ฮิตในช่วงที่ผ่านมา ก็คงจะเป็น Metaverse, สินทรัพย์ดิจิทัล, ร้านหม่าล่าสายพาน, ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก และอาหาร Plant-based 
จะเห็นได้ว่า แม้ว่าจะผ่านมาเพียงไม่นาน แต่เทรนด์บางอย่างก็ได้จางหายไปแล้ว..
ซึ่งถ้าธุรกิจของเรา เป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ที่กำลังจะจางหายไป แต่เรากลับไม่ปรับตัว
ผลลัพธ์ที่ได้ แบรนด์ของเรา ก็อาจจะถูกลืมได้ในท้ายที่สุด
พอเป็นแบบนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่เราประกอบธุรกิจอยู่ ยังมีอนาคตให้ไปต่อ หรือควรพอแค่นี้ แล้วเปลี่ยนไปหาธุรกิจใหม่ ๆ แทน ?
บทความนี้ MarketThink ได้รวบรวม 4 วิธีเช็ก เพื่อประเมินเบื้องต้นว่า ธุรกิจของเรา กำลังอยู่ในประเภทไหน และมีแนวทางรับมืออย่างไร..
1. ดูภาพรวมและมูลค่าตลาด
สำหรับอุตสาหกรรมหรือธุรกิจใหญ่ ๆ ก็มักจะมีหลาย ๆ บริษัททำการวิจัยตลาด เพื่อรวบรวมข้อมูลว่า อุตสาหกรรมนั้น ๆ เป็นอย่างไร มีมูลค่าตลาดต่อปีเท่าไร และใครเป็นผู้นำตลาด ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดบ้าง
ซึ่งในกรณีที่มูลค่าตลาดยังเติบโตในแต่ละปี ก็หมายความว่า อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่เราทำอยู่ ยังมีโอกาสไปต่อได้
แต่ในกรณีที่ ตลาดนิ่ง ไม่ขยายตัว หน้าที่ของเราก็คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้ตรงจุด และทำการตลาดเพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าจากเรา
เพื่อเป็นการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากเจ้าอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจของเราเป็นเพียงเจ้าเล็ก ๆ ที่ไม่ได้โดดเด่น จนคาดว่าไม่สามารถเข้าไปร่วมแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดได้
ก็อาจจะต้องกลับมาพิจารณาอีกครั้งว่า จะทำอย่างไร เช่น หันไปจับธุรกิจอื่น ๆ แทน
2. ดูคู่แข่ง
ในกรณีที่อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่เราทำอยู่ ไม่ได้ใหญ่ จนถึงขนาดมีการรวบรวมมูลค่าตลาด
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเช็กได้ว่า อุตสาหกรรมที่เราประกอบธุรกิจอยู่ ยังมีอนาคตให้ไปต่อไหม
นั่นก็คือ “การดูคู่แข่ง”
ยกตัวอย่างเช่น 
- ดูว่า มีจำนวนคู่แข่งหน้าใหม่ เกิดขึ้นเยอะไหม 
- ดูว่า คู่แข่งหน้าเก่า ขยายสาขาเพิ่มขึ้นไหม
ลองคิดง่าย ๆ ว่า ถ้าหากธุรกิจหรืออุตสาหกรรมไหน ยังฮิตและเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มลูกค้า มีแนวโน้มว่ายังไปต่อได้
ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น ๆ ก็มักจะมีคู่แข่งกระโดดเข้ามาร่วมแย่งชิงยอดขายมากขึ้น
อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ว่า พอธุรกิจร้านหม่าล่าสายพานได้รับการตอบรับดี
ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็เกิดร้านหม่าล่าสายพานอยู่ทุกถนนทั่วกรุงเทพฯ นั่นเอง..
ในกรณีตรงกันข้าม ถ้าลองสำรวจดูแล้วพบว่า คู่แข่งในธุรกิจของเราเกิดขึ้นน้อยลงมาก ไม่มีคู่แข่งหน้าใหม่ ๆ เกิดขึ้นในช่วง 4-6 เดือนที่ผ่านมา
ซึ่งถ้าไม่ใช่ธุรกิจที่มีอุปสรรคในการเข้ามาสูง (Barriers to Entry)
อาจจะตีความได้ว่า ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่เราประกอบธุรกิจ อยู่ในช่วงถดถอย เนื่องจากเทรนด์หรือพฤติกรรมความชื่นชอบของลูกค้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
3. ดูลูกค้าของเราเอง
นอกจากการดูคู่แข่งแล้ว เราสามารถเช็กจากลูกค้าของเราเองได้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
- ดูว่า ลูกค้าประจำ กลับมาซื้อบ่อยแค่ไหน หรือเริ่มหาย ๆ ไปไม่กลับมา
- ดูว่า ยอดขายของลูกค้าประจำ อยู่ที่คนละเท่าไร มากขึ้นหรือน้อยลง เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา
- ดูว่า ลูกค้าหน้าใหม่ เข้ามาซื้อมากหรือน้อยขนาดไหน และมีโอกาสในการเป็นลูกค้าประจำไหม
อีกทั้ง สามารถดูควบคู่ไปกับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้ว่า สินค้าที่เคยขายดีที่สุดของร้านเรา ยังขายได้ดีที่สุดเหมือนเดิมหรือไม่
ในกรณีที่พบว่า ธุรกิจของเรามีลูกค้าน้อยลง ทั้งลูกค้าประจำที่ไม่ค่อยกลับมา และลูกค้าหน้าใหม่ก็ไม่มี
ก็อาจจะต้องมาวิเคราะห์กันต่อถึงสาเหตุ
ถ้าไม่ได้เป็นเพราะสินค้าของเราที่ยังไม่ตอบโจทย์ลูกค้า
ก็อาจจะเป็นเพราะเทรนด์และความชื่นชอบของลูกค้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
4. ดูสินค้าใหม่ที่เกิดขึ้นในตลาด
อีกหนึ่งวิธีเช็กแบบง่าย ๆ ก็คือ การดูสินค้าใหม่ที่เกิดขึ้นในตลาดว่า มีอะไรบ้าง และแตกต่างจากสินค้าของเรามากน้อยขนาดไหน
สมมติ กรณีที่เราอยู่ในธุรกิจ Junk Food เช่น ขายเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์
แต่พอลองเช็กสภาพธุรกิจแล้วพบว่า สินค้าใหม่ ๆ มักจะเป็น สินค้าเพื่อสุขภาพ
ในกรณีนี้ อาจหมายความว่า เทรนด์อาหารสุขภาพกำลังมาแรง
เพราะฉะนั้น ธุรกิจของเราก็ควรปรับตัวให้ทันกับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น ออกเมนูใหม่ที่มีแคลอรี-ไขมัน น้อยลง และมีโภชนาการมากขึ้น หรือใช้ Plant-based เพื่อตอบรับเทรนด์รักสุขภาพนั่นเอง
จากทั้งหมดนี้ คือ วิธีการเช็กง่าย ๆ ว่า ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่เราประกอบธุรกิจอยู่ ยังมีอนาคตให้ไปต่อ หรือควรพอแค่นี้
ซึ่งถ้าหากลองเช็กและรวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ ข้อแล้ว พบว่า มูลค่าตลาดไม่เติบโต, คู่แข่งหน้าใหม่ไม่ค่อยมี, ลูกค้าซื้อน้อยลง ส่วนลูกค้าประจำบางรายก็หายไป
หมายความว่า อาจถึงเวลาที่ธุรกิจของเราจะต้องปรับตัว อาจจะด้วยวิธีการพัฒนาให้ดีขึ้น
หรือพอแค่นี้ แล้วหันไปบุกเบิกธุรกิจอื่น ๆ แทน..
ทั้งนี้ เช็กลิสต์ที่กล่าวมา เป็นปัจจัยภายนอก ที่ส่งผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจ
แต่ธุรกิจของเราจะอยู่รอด มีอนาคตให้ไปต่อ หรือควรพอแค่นี้ ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในด้วย เช่น
- นโยบายของบริษัท
- ผู้บริหารองค์กรมีความสามารถหรือไม่
- ตัวสินค้าเจ๋ง และตอบโจทย์ลูกค้าจริง ๆ ไหม
ซึ่งถ้าปัจจัยภายในที่กล่าวมานี้ ดำเนินไปได้ด้วยดี
ต่อให้ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่เราทำธุรกิจอยู่ ไม่ได้เป็นเทรนด์ในขณะนั้น
แต่ธุรกิจของเรา ก็มีหนทางที่จะสามารถประสบความสำเร็จ ได้เช่นกัน
--------------------------
Sponsored by JCB
สัมผัสประสบการณ์ที่มากกว่ากับ บัตรเครดิต JCB
ที่มาพร้อมสิทธิพิเศษดี ๆ มากมาย
ให้คุณได้เพลิดเพลินทั้ง ช้อป กิน เที่ยว
พร้อมกับการให้บริการสุดพิถีพิถันทุกรูปแบบ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ >> http://www.specialoffers.jcb/th/promotion/japan_contents_of_ASEAN/
ติดตามความพิเศษที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะคุณได้ที่
Facebook : JCB Thailand
LINE Official Account : @JCBThailand (https://bit.ly/JCBTHLine)
------------------------------
อ้างอิง:
-หนังสือ วิชาธุรกิจที่ชีวิตจริงเป็นคนสอน 3 โดย ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.