
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ผงชูรส จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนเข้าใจผิดว่า.. ทานแล้วผมร่วง
26 ก.ค. 2023
ทานอาหารที่มีผงชูรสเยอะ ๆ จะทำให้ “ผมร่วง”
คงเป็นหนึ่งในความเชื่อ ที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
และหลาย ๆ คนยังคงเชื่ออยู่ จนถึงทุกวันนี้..
แม้ว่าปัจจุบัน องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ผงชูรสเป็นวัตถุเจือปนอาหาร ที่มีความปลอดภัย
ส่วนความเชื่อที่ว่า ผงชูรสทำให้ผมร่วง ตามรายงานทางการแพทย์ต่าง ๆ ก็พบว่า “ไม่เป็นความจริง”
แล้วจุดเริ่มต้นของความเชื่อที่ว่า ผงชูรสทำให้ผมร่วง และอาจก่อให้เกิดอาการป่วยต่าง ๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
จุดเริ่มต้นของผงชูรส เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1908 หรือเมื่อ 115 ปีที่แล้ว
เมื่อ ศ. ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ นักวิชาการด้านเคมี ของมหาวิทยาลัยโตเกียว เกิดสงสัยระหว่างกำลังทานซุปที่ได้จากการต้มสาหร่ายทะเลคอมบุ ว่าทำไมถึงมีรสชาติกลมกล่อม
ศ. ดร.อิเคดะ จึงได้ทำการวิจัย จนค้นพบว่า รสชาติกลมกล่อมที่ว่านี้ เกิดจาก “กลูทาเมต” หรือกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่มากในสาหร่ายทะเลคอมบุ
จึงตั้งชื่อให้กับรสชาติกลมกล่อมนี้ว่า “อูมามิ”
ซึ่งนับเป็นรสชาติลำดับที่ 5 ที่ลิ้นสามารถรับรสได้ นอกเหนือจาก รสหวาน เปรี้ยว เค็ม และขม
จากการค้นพบครั้งสำคัญนี้เอง จุดประกายให้ คุณซาบุโรสุเกะ ซูซูกิ นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ผลิตกลูทาเมตออกมาในรูปแบบของเครื่องปรุงรส
กลายมาเป็น โมโนโซเดียมกลูทาเมต (MSG)
หรือผงชูรสแบรนด์แรกของโลก ภายใต้แบรนด์ชื่อว่า “อายิโนะโมะโต๊ะ” ที่เราคุ้นเคยกันดีในทุกวันนี้นั่นเอง..
ต้องบอกว่า หลังจากวางขายผงชูรสได้ไม่นาน ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเอเชีย หรือตามร้านอาหารจีน ในสหรัฐอเมริกา
เรื่องราวดูเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่งในปี 1968 เริ่มมีกระแสต่อต้านผงชูรสเกิดขึ้น..
โดยผู้เริ่มจุดกระแสต่อต้านคือ คุณ Robert Ho Man Kwok แพทย์ชาวจีน-อเมริกัน ที่ได้เขียนจดหมายส่งไปที่วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (NEJM)
คุณ Robert Ho Man Kwok ระบุว่า เขามีอาการป่วย หลังจากเข้าไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารจีน ไม่ว่าจะเป็น หัวใจเต้นเร็ว อ่อนแรง และมีอาการชา
ซึ่งเขาชี้ว่า ต้นตอของอาการ เกิดจาก “ผงชูรส” ที่ร้านอาหารจีนชอบใช้กัน
ต่อมาเมื่อ NEJM ตีพิมพ์เรื่องราวของคุณ Robert Ho Man Kwok ออกมาเผยแพร่
ผลปรากฏว่า แพทย์อีกหลายสิบคน ก็เขียนจดหมายตอบกลับว่า พวกเขาก็รู้สึกไม่สบายตัว หลังจากทานอาหารที่ร้านอาหารจีนเช่นกัน
ซึ่งอาการของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป มีทั้งเป็นลม ปวดหลัง เหงื่อออก เวียนศีรษะ ผิวหนังแดง และชาที่บริเวณกราม
ท้ายที่สุด อาการเหล่านี้ ก็ถูกเรียกว่า “Chinese Restaurant Syndrome”
ซึ่งจุดพีกของเรื่อง ไม่ได้จบแค่เท่านี้..
ในช่วงเวลานั้น มีหลาย ๆ งานวิจัยออกมาเปิดเผยว่า ผงชูรสเป็นตัวร้ายต่อร่างกายของมนุษย์จริง ๆ
ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยในปี 1969 ที่มีการฉีด MSG เข้าไปในทางผิวหนังของหนู
ผลการทดลองรอบแรก พบว่า พบรอยโรคในสมองของหนู
ส่วนรอบที่สอง พบว่า หนูมีลักษณะแคระแกร็น มีอาการเซื่องซึม น้ำหนักเพิ่มขึ้นแม้ทานอาหารน้อยลง และทำให้ขนของหนู ไม่สวยเงางาม
จากงานวิจัยนี้ จึงมีการสรุปว่า การทานผงชูรส อาจเป็นอันตรายต่อสมอง
และอาจเป็นต้นเหตุของอาการต่าง ๆ รวมถึง “ผมร่วง” ด้วยนั่นเอง
แต่เท่านั้นยังไม่พอ จุดที่ทำให้ความเชื่อเหล่านี้เป็นที่แพร่หลาย และทวีความรุนแรงมากขึ้น
นั่นก็คือ การที่สื่อต่าง ๆ เช่น The New York Times ตีพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ
จึงทำให้เกิดกระแสการต่อต้านอาหารจีน และผงชูรสอย่างหนัก
อย่างในสหรัฐอเมริกา หลาย ๆ ร้านต้องออกมาติดป้ายว่า NO MSG หรือไม่ใส่ผงชูรส
ขณะที่แบรนด์ต่าง ๆ เช่น Heinz ก็ลบ MSG ออกจากส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้วย
จนกระทั่งในภายหลัง มีแพทย์ออกมาประกาศว่า ผลการทดลองที่ฉีด MSG ในหนูนั้น ไม่สามารถนำมาใช้ในการยืนยันได้ว่า ผงชูรสส่งผลต่อสมอง
เพราะการทดลองนั้น ฉีด MSG ในหนูโดยตรง และฉีดในปริมาณที่มากเกินไป
แต่ในความเป็นจริง มนุษย์เราบริโภคผงชูรสด้วยการทาน และไม่ได้ทานในครั้งละจำนวนมาก ๆ
พอเป็นแบบนี้ องค์การต่าง ๆ ก็ได้ทำการทบทวนเกี่ยวกับความปลอดภัยของ MSG อีกครั้ง
จนท้ายที่สุดในปี 1991 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศว่า “MSG เป็นส่วนผสมของอาหาร ที่ปลอดภัยต่อมนุษย์”
มาถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่า ความเชื่อที่ว่า ผงชูรส ทำให้เกิดอาการป่วย รวมถึงทำให้ผมร่วง เกิดขึ้นได้อย่างไร
แต่หลายคนคงสงสัยว่า แล้วเหตุใดแพทย์หลาย ๆ คนที่เขียนจดหมายส่งให้วารสารการแพทย์ NEJM ถึงมีอาการหลังจากทานอาหารที่ร้านอาหารจีนเหมือน ๆ กัน
ต้องบอกว่า อาการต่าง ๆ เช่น ลิ้นชา ปากแห้ง ปากบวม
ไปจนถึงอาการหนัก ๆ เช่น ร้อนวูบวาบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใจสั่น แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว อ่อนเพลีย และอาเจียน
อาการเหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับ คนที่มีอาการแพ้ผงชูรส
รวมไปถึงคนที่ทานผงชูรสในปริมาณมากจนเกินไป
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีการประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า ผงชูรส ไม่ได้ทำให้เกิดอาการป่วย หรือไม่ได้ทำให้ผมร่วง
แต่ความเชื่อเหล่านี้ ก็ยังถูกถ่ายทอดและส่งต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน..
อ้างอิง:
-What is MSG, and is it actually bad for you? - Sarah E. Tracy โดย TED-Ed-Is MSG Bad For You? โดย Insider Business