![KBank แยกธุรกิจ กสิกร อินเวสเจอร์ รุกตลาดลูกค้ารายย่อย ที่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ](https://t1.marketthink.co/wp-content/uploads/2023/08/Kasikorn-Investure-01-1024x1024.png)
KBank แยกธุรกิจ กสิกร อินเวสเจอร์ รุกตลาดลูกค้ารายย่อย ที่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ
2 ส.ค. 2023
ธนาคารกสิกรไทย ประกาศแยก บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด หรือ เคไอวี เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการรุกธุรกิจให้บริการการเงิน กับลูกค้ารายย่อย โดยใช้ศักยภาพของพันธมิตร ร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ของธนาคาร เพื่อลดต้นทุนธุรกิจ และลดต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิต
![](https://t1.marketthink.co/wp-content/uploads/2023/08/04_KIV_Structure.jpg)
ในปัจจุบัน มีบริษัทที่อยู่ในโครงสร้างของเคไอวี ประกอบด้วย 14 บริษัท มูลค่าการลงทุนรวมราว 30,000 ล้านบาท
คุณขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ให้ข้อมูลว่า บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด หรือเคไอวี เป็นบริษัทโฮลดิ้ง ภายใต้กลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกสิกรไทย เพื่อลงทุนร่วมกับพันธมิตร
นอกจากนี้ คุณขัตติยา ยังให้ข้อมูลด้วยว่า เคไอวี จะมีฐานลูกค้าที่แตกต่างจากลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยเดิม นั่นก็คือ กลุ่มลูกค้าที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน อย่างบริการสินเชื่อได้
โดยการแยกเคไอวี ออกมา จะทำให้เกิดความยืดหยุ่น และความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ขยายความร่วมมือกับพันธมิตร ภายใต้การใช้ศักยภาพที่มีอยู่เดิมของธนาคารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในการให้บริการการเงินกับกลุ่มลูกค้ารายย่อย และสร้างรายได้ใหม่ ให้กับธนาคาร
ด้าน คุณพัชร สมะลาภา Group Chairman ของเคไอวี กล่าวว่า เป้าหมายของเคไอวี คือ เพิ่มความสามารถในการให้บริการการเงินกับกลุ่มลูกค้ารายย่อย
สามารถให้บริการการเงินที่ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย เจ้าของร้านค้ารายเล็ก และกลุ่มคนที่ไม่มีรายได้ประจำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ให้สามารถใช้บริการการเงินในระบบได้มากขึ้น
โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของพันธมิตรในแต่ละด้าน ร่วมกับการใช้โครงสร้าง และทรัพยากรของธนาคารกสิกรไทย ที่มีอยู่แล้ว
เช่น จำนวนลูกค้ากว่า 20 ล้านราย, K PLUS, เงินทุน, ข้อมูลไอที และสาขาของธนาคาร
เช่น จำนวนลูกค้ากว่า 20 ล้านราย, K PLUS, เงินทุน, ข้อมูลไอที และสาขาของธนาคาร
คุณพัชร ยังกล่าวด้วยว่า เคไอวี มีโจทย์สำคัญ คือ ต้องลดต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Cost) และต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (Credit Cost) เพื่อให้ยังคงความสามารถในการสร้างกำไรของธุรกิจ