Samsung เปิดแผนรุกหนัก เสริมแกร่ง SmartThings Ecosystem หวังสร้างพฤติกรรมคนไทยเชื่อมโยงทุกอุปกรณ์ภายในบ้านอย่างไร้รอยต่อ พร้อมความสามารถประหยัดค่าไฟขั้นสุดด้วยปลายนิ้ว
18 ก.ย. 2023
จากข้อมูล Statista เผยว่า "จำนวนอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 29 พันล้านในปี 2030” มีส่วนมาจากผู้บริโภคต่างต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวกสบายภายในบ้าน โดยต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความทันสมัย
อย่างไรก็ตามผู้บริโภคกลับเผชิญความยุ่งยากกับการใช้งาน Samsung ในฐานะผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลกเล็งเห็นความสำคัญของการทำอุปกรณ์ IoT ให้ผู้บริโภคใช้งานง่ายผ่านศูนย์รวมเดียว เพื่อให้การใช้ชีวิตมีความสงบและสะดวกสบายท่ามกลางอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ามากมาย ตามวิสัยทัศน์ “Bringing Calm to Our Connected World”
ด้วยนวัตกรรม “SmartThings” แพลตฟอร์มเปลี่ยนโลกที่จัดระบบควบคุมภายในบ้าน สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้สูงสุดถึง 200 ชิ้น ใช้งานง่ายเพียง “1 Tab” โดยได้รับความนิยม มีผู้ดาวน์โหลดใช้งานแล้วถึง 288 ล้านคนทั่วโลก และ 2.4 ล้านคนในประเทศไทย
ปัจจุบัน SmartThings ได้เชื่อมต่อกับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าอีกมากมายกว่า 5,000 ชนิด จาก 300 แบรนด์ สามารถตรวจสอบและควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะทั้งหมดในที่เดียวด้วย SmartThings บนสมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต, สมาร์ตวอตช์, ทีวี และตู้เย็น โดยโหลดได้ทั้ง Android และ IOS
Samsung ในฐานะผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเดินหน้าสานต่อพันธกิจในการส่งมอบวันใหม่ของชีวิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พร้อมยกระดับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย จึงมุ่งเน้นการสร้าง SmartThings Ecosystem ผ่านความร่วมมือและกิจกรรมทั้งภาครัฐและเอกชนในรูปแบบ B2B และ B2C
เพื่อขยายการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ไม่ใช่แค่เชื่อมต่อได้อย่างเดียว แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าจากทุกที่ทุกเวลา รวมถึงช่วยควบคุมการใช้พลังงานอย่างเห็นผลด้วย AI Energy Mode ที่ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุด 70% ทำให้เป็นเบอร์หนึ่งในการช่วยลดค่าไฟในแต่ละเดือน
โดยในครึ่งปีแรก Samsung รุกหนัก เริ่มต้นด้วยอิเวนต์งานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคระดับโลกอย่าง CES 2023 และงาน CE Conference ที่จัดขึ้นที่ประเทศไทย ที่นอกจาก Samsung จะเปิดวิสัยทัศน์และไลน์อัปของปีนี้แล้ว ยังเน้นย้ำการจะก้าวขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ได้
โดย Samsung เลือกใช้นวัตกรรมของ SmartThings เพื่อสร้างวันใหม่ที่ดีให้กับทุกคนภายใต้คอนเซ็ปต์ Live A New Day
Samsung สร้าง Branding Campaign ด้วยการ wrap รถไฟฟ้าบีทีเอสทั้งสาย ภายใต้คอนเซ็ปต์ Live a New Day ให้ผู้บริโภคหันมาใช้ SmartThings เพื่อให้ชีวิตในวันใหม่สนุก สะดวกสบาย และประหยัดค่าไฟมากขึ้น
ในส่วนของกิจกรรมกับผู้บริโภค Samsung โฟกัสความเป็น Smart Home IoT เพื่อยกระดับที่อยู่อาศัยให้เป็น Smart Home ให้คนไทยใช้ชีวิตสะดวกสบาย สมาร์ต และประหยัดมากยิ่งขึ้น
สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วย WindFree™ Installation Live Event ที่จัดขึ้นกลางลานเมกาบางนาให้ผู้บริโภคได้สัมผัสเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดไฟอย่าง AI Energy Mode เจ้าแรกในประเทศไทย
และยังมีกิจกรรมชูนวัตกรรม AI Energy Mode อย่างแคมเปญ “เซฟครับ - เซฟค่าไฟ เซฟเงินให้คุณ ด้วย SmartThings” ที่ Samsung พลิกโฉมมาตรฐานเครื่องใช้ไฟฟ้าคุณภาพเป็นหนึ่งพร้อมช่วยเซฟค่าไฟ ชวนคนไทยจัดการค่าไฟอย่างอยู่หมัดดึง เอ้ย จิรัช และ ลิปตา กับเพลงเวอร์ชันใหม่ติดหูชวนทุกคนมาเซฟค่าไฟให้แบบง่าย ๆ และสนุกขึ้นกว่าเดิม
สุดท้าย Samsung นำเสนอ Business solution เผื่อเป็นหนึ่งใน Game Changer ที่สำคัญที่ช่วยยกระดับการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล เพิ่มความคุ้มค่าและประสบการณ์อัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยเชื่อมต่อได้อย่างไร้ขีดจำกัดนำเสนอโซลูชันที่ครบวงจรให้กับธุรกิจทั้งกลุ่ม Food และ Hospitality ที่งาน Food and Hospitality Thailand
ไตรมาสสุดท้าย Samsung จัดเต็มกิจกรรมสร้างคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้นและประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งกับภาครัฐและเอกชน
ล่าสุด Samsung x Powerbuy Pleas “SmartThings Experience Zone ที่หน้าพาวเวอร์บาย สาขาเซ็นทรัลชิดลม เพื่อโชว์เคสการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้ากับ SmartThings ที่เปลี่ยนบ้านธรรมดาให้กลายเป็นบ้านอัจฉริยะแบบง่าย ๆ
นอกจากนี้ยังมีแพลนจับมือกับพันธมิตรอย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและภาคเอกชนอื่น ๆ ที่เน้นเสริมความแกร่งให้กับ SmartThings Ecosystem ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสนวัตกรรมสุดล้ำและตัวช่วยขจัดปัญหาค่าไฟแพงอย่าง AI Energy Mode อีกด้วย
เจนนิเฟอร์ ซอง ประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เผยว่า “สมาร์ตโฮมกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้นในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยุคใหม่ Samsung ดำเนินธุรกิจโดยยึดถือมาตลอดว่าแนวทางการทำงานที่มีผู้ใช้งานเป็นหัวใจสำคัญนั้น จะเป็นหนทางที่ดีต่ออนาคต
จึงใช้ความเป็นไปได้จากนวัตกรรมและเทคโนโลยีของ Samsung พัฒนา SmartThings ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถเชื่อมต่อกับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ มอบความสะดวกสบายผ่านฟีเชอร์ที่สามารถควบคุมบ้านได้จากทุกที่
และให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินไปกับความบันเทิงได้อย่างไร้ขีดจำกัดรวมถึงได้รับความปลอดภัยอย่างรอบด้าน”
ทั้งนี้ Samsung มั่นใจว่า SmartThings จะช่วยให้คนไทยมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น และมียอดดาวน์โหลดใช้งาน SmartThings ที่ 3.3 ล้านคน ภายในปีนี้