กรณีศึกษา หนังสือการ์ตูน ยังมีลมหายใจอยู่

กรณีศึกษา หนังสือการ์ตูน ยังมีลมหายใจอยู่

1 พ.ค. 2020
ใครที่อายุ 30 ปีขึ้นไป คงเคยวิ่งไปที่แผงหนังสือใกล้บ้านอย่างรวดเร็ว
เพื่อซื้อการ์ตูนเรื่องโปรดด้วยอารมณ์ตื่นเต้น ว่าจะซื้อทันไหม
หากไปช้าก็จะหมดเกลี้ยงแผง
แต่...เหตุการณ์นี้กลายเป็นภาพจำและเลือนหายไปแล้ว
เพราะเวลานี้แผงหน้งสือใกล้บ้านก็แทบจะปิดกิจการกันหมด
เด็กไทยยุคนี้ ไม่อ่านการ์ตูนกันแล้วหรืออย่างไร?
ตรงกันข้ามเด็กไทยยังชอบอ่านการ์ตูนมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เพียงแต่หมางเมินกระดาษแล้วไปอ่านในโลกออนไลน์ผ่านจอ โทรศัพท์ และ แท็บเล็ต
แม้เว็บไซต์จนถึง App เหล่านี้จะผิดลิขสิทธิ์ แต่ในเมื่ออ่านฟรี
แถมยังมีแปลเป็นภาษาไทยอัปเดตตอนใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว
ทำให้เด็กๆ หลายคนเลือกที่จะอ่านในช่องทางนี้
มาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะคิดว่าถึงเวลา อวสาน ของสำนักพิมพ์ต่างๆ
เพราะเมื่อคนอ่านน้อยลง อีกทั้งร้านขายหนังสือก็แทบจะไม่หลงเหลือแล้วในยุคนี้
ซึ่งคงไม่คุ้มค่ากับต้นทุนในการพิมพ์การ์ตูนมาขาย
ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะก็มีหลายสำนักพิมพ์ที่ปิดตัว เช่น มิตรไมตรี, หมึกจีน เป็นต้น
ขณะเดียวกัน..ก็ยังมีหลายสำนักพิมพ์ที่ปรับตัวจนสามารถมีลมหายใจในโลกดิจิทัล
คำถามคือ แล้วพวกเขาทำอย่างไร?
เพราะนอกจากร้านขายหนังสือการ์ตูนที่มีเหลืออยู่น้อยนิด
แต่กลุ่มที่อยู่รอดอย่าง สยามอินเตอร์คอมมิกส์, วิบูลย์กิจ, เนชั่น
เลือกที่จะเพิ่มช่องทางใหม่ๆ ด้วยการขายผ่านในเว็บไซต์ หรือ เฟซบุ๊ก
จนถึงขายผ่าน App ที่ผู้อ่านจะต้องเสียเงิน
โดยช่องทางนี้ก็ต้องไปต่อสู้กับการ์ตูนที่ละเมิดลิขสิทธิ์ในออนไลน์
ที่น่าสนใจก็คือในส่วนหนังสือที่เป็นเล่ม ต่างหาก
โดย สำนักพิมพ์เหล่านี้ เลือกจะทำหนังสือการ์ตูนที่ใช้กระดาษมีคุณภาพ, ปกสวยงาม
บางเล่มก็ขายพร้อมของที่ระลึกจากการ์ตูนเรื่องนั้นๆ
ทำให้เราได้เห็นราคาหนังสือการ์ตูนที่แพงขึ้นหากเทียบกับในอดีต
ที่ขายกันเล่มละ 30-40 บาท แต่ปัจจุบันเล่มละ 60-80 บาท
บางเล่มราคา100-200 บาทก็มีให้เห็นมาแล้ว
แล้วราคาขายที่แพงขึ้นมากกว่าเท่าตัว ใครคือผู้ที่จะยอมจ่ายเงินซื้อหนังสือการ์ตูนในยุคนี้
คำตอบก็คือคนอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่ซื้อเพื่อเก็บสะสม เป็นคุณค่าทางจิตใจ
เพราะเมื่อได้สัมผัสได้อ่าน ก็เสมือนตัวเองได้ย้อนเวลานั่งไทม์แมชีนกลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง
สิ่งที่น่าติดตามก็คือการปรับตัวของสำนักพิมพ์เหล่านี้ ผลลัพธ์ ทางธุรกิจจะเป็นอย่างไร
เราลองมาดูสำนักพิมพ์ชื่อดังในยุค 90 อย่าง วิบูลย์กิจ เป็นตัวอย่าง
ปี 2559 รายได้ 24.8 ล้านบาท
ปี 25ุ60 รายได้ 22.8 ล้านบาท
ปี 25ุ61 รายได้ 24.4 ล้านบาท
จะเห็นว่ารายได้จาการขายหนังสือการ์ตูนแม้จะไม่มหาศาลเหมือนในยุค 90
แต่ก็เป็นรายได้ที่สม่ำเสมอค่อนข้างคงที่
ทีนี้ก็คงติดตามดูกันต่อไปว่าสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งวิบูลย์กิจและสำนักพิมพ์อื่นๆ
จะเลือกอยู่แบบเดิม โดยคิดว่าสถานการณ์เช่นนี้ก็เพียงพอต่อการอยู่รอด
หรือจะมีไม้ตายใหม่ๆ มาเพิ่มยอดขายหนังสือการ์ตูนทั้งในแบบเล่มและ E-Book
แต่ที่เชื่อแน่ๆ คอการ์ตูนพันธุ์แท้ ก็ยังอยากจะอ่าน อยากจะสะสมการ์ตูนในแบบรูปเล่ม
เพราะมันหมายถึงการซื้อความทรงจำในวัยเด็ก
ที่คอการ์ตูนยังแอบคิดถึงตลอดเวลา
อ้างอิง :
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
https://apps.apple.com/th/app/vibulkij/id802840885?l=th
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9600000069802
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.