
ปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ AI Transformation ต้องเริ่มจากกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่การใช้เครื่องมือเป็น
13 พ.ย. 2025
ทุกวันนี้ทุกองค์กรต่างก็พยายามจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการทำ AI Transformation หรือก็คือการนำ AI เข้ามาใช้งานในทุก ๆ ส่วนขององค์กร
เพื่อลดเวลาในการทำงาน และสร้างผลงานได้มากขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว
เพื่อลดเวลาในการทำงาน และสร้างผลงานได้มากขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว
แต่หนึ่งในข้อผิดพลาดที่ทำให้หลายองค์กรตกม้าตาย คือ เข้าใจว่า “แค่ดาวน์โหลด ChatGPT หรือ AI สักตัวมา Prompt เพื่อป้อนคำสั่งหรือคำถามที่ต้องการ เท่านี้ก็จบ”
ทั้งที่จริงแล้ว AI Transformation ไม่ได้หมายถึง การใช้เครื่องมือ AI ตัวใดตัวหนึ่ง เพื่อพิมพ์คำสั่ง แล้วรอคำตอบเท่านั้น แต่หมายถึงการวางแผนกลยุทธ์การใช้งาน AI ตั้งแต่ระดับผู้บริหารไปจนถึงพนักงานทุกคน
เพื่อให้ AI เข้ามาช่วยลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน, ลดความผิดพลาดจากการทำงาน และเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ
แล้วองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสู่ AI Transformation ต้องทำอย่างไร และเริ่มต้นจากตรงไหน ?
MarketThink ชวนไปหาคำตอบจากคุณอ้น-ปฤณ จำเริญพานิช ผู้ก่อตั้งบริษัท AEIOU Solution
MarketThink ชวนไปหาคำตอบจากคุณอ้น-ปฤณ จำเริญพานิช ผู้ก่อตั้งบริษัท AEIOU Solution
เริ่มจากคำถามวัดระดับ ที่อยากชวนทุกคนตอบไปพร้อมกันว่า คุณเป็นผู้ใช้เครื่องมือ AI ระดับไหน ?
คุณอ้นได้แบ่งระดับผู้ใช้งาน AI ไว้ทั้งหมด 5 ระดับ ได้แก่
คุณอ้นได้แบ่งระดับผู้ใช้งาน AI ไว้ทั้งหมด 5 ระดับ ได้แก่
1. AI Sleeper คือ คนที่ไม่เคยใช้งานเครื่องมือ AI สักอย่าง รู้แค่ว่ามี AI แต่ไม่รู้ว่าต้องใช้งานอย่างไร
2. AI Explorer คือ คนที่ใช้งาน AI เพียงแค่เครื่องมือเดียว และใช้งาน AI แค่สรุปเนื้อหา หรือแปลภาษา
3. AI Player คือ คนที่มองว่า AI เป็นเพื่อนร่วมงาน เริ่มพิมพ์ชุดคำสั่งใช้งาน AI ได้ดีขึ้น และใช้งานเครื่องมือ AI หลายตัวมากขึ้นอย่าง ChatGPT, Perplexity, Midjourney
4. AI Integrator คือ คนที่เข้าใจว่าเครื่องมือ AI แต่ละตัวเหมาะกับงานชนิดไหน สามารถสร้าง Workflow เชื่อมการใช้งานเครื่องมือ AI ที่ต่างกันได้
5. AI Transformer คือ คนที่สามารถสร้าง และออกแบบ AI-Native ให้ทั้งองค์กร สามารถใช้งาน AI Agent, AI Workflow และ Custom GPT เป็น สามารถสร้าง Agent ที่เหมาะกับงานแต่ละแผนกได้
2. AI Explorer คือ คนที่ใช้งาน AI เพียงแค่เครื่องมือเดียว และใช้งาน AI แค่สรุปเนื้อหา หรือแปลภาษา
3. AI Player คือ คนที่มองว่า AI เป็นเพื่อนร่วมงาน เริ่มพิมพ์ชุดคำสั่งใช้งาน AI ได้ดีขึ้น และใช้งานเครื่องมือ AI หลายตัวมากขึ้นอย่าง ChatGPT, Perplexity, Midjourney
4. AI Integrator คือ คนที่เข้าใจว่าเครื่องมือ AI แต่ละตัวเหมาะกับงานชนิดไหน สามารถสร้าง Workflow เชื่อมการใช้งานเครื่องมือ AI ที่ต่างกันได้
5. AI Transformer คือ คนที่สามารถสร้าง และออกแบบ AI-Native ให้ทั้งองค์กร สามารถใช้งาน AI Agent, AI Workflow และ Custom GPT เป็น สามารถสร้าง Agent ที่เหมาะกับงานแต่ละแผนกได้
เชื่อว่า คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ติดอยู่ในขั้น AI Explorer เพราะมองว่าใช้งาน AI แค่เครื่องมือเดียวก็พอ สามารถตอบโจทย์ได้แล้ว แต่ในทางที่จริง AI แต่ละเครื่องมือก็มีความถนัดที่ต่างกัน
โดยคุณอ้นได้ยกตัวอย่างความถนัดของเครื่องมือ AI ประเภทต่าง ๆ ไว้ เช่น
- AI สายวิเคราะห์ และจัดการข้อมูล ได้แก่ ChatGPT, Claude AI, Perplexity, Copilot, Gemini
- AI สายสร้างภาพ กราฟิก และพรีเซนเทชัน ได้แก่ Midjourney, DALL-E, Gamma, Canva
- AI สายสร้างวิดีโอ และตัดต่อ ได้แก่ Sora, Runway, Kling AI, Google Veo, HeyGen
- AI สายเสียงดนตรี Sound Effect ได้แก่ Suno, ElevenLabs, Google AI Studio
- AI สายวิเคราะห์ และจัดการข้อมูล ได้แก่ ChatGPT, Claude AI, Perplexity, Copilot, Gemini
- AI สายสร้างภาพ กราฟิก และพรีเซนเทชัน ได้แก่ Midjourney, DALL-E, Gamma, Canva
- AI สายสร้างวิดีโอ และตัดต่อ ได้แก่ Sora, Runway, Kling AI, Google Veo, HeyGen
- AI สายเสียงดนตรี Sound Effect ได้แก่ Suno, ElevenLabs, Google AI Studio
เมื่อพอเข้าใจความถนัดของเครื่องมือ AI แต่ละตัว และสามารถใช้งานเป็นแล้ว จะเท่ากับว่าผู้ใช้งานได้ยกระดับเป็น AI Player อย่างเต็มตัว
ที่น่าสนใจคือ คุณอ้นยังได้ยกตัวอย่าง Workflow สำหรับเชื่อมการใช้งานเครื่องมือ AI ในการคิดคอนเทนต์ ให้เริ่มต้นจากค้นหาข้อมูลบน Perplexity > วิเคราะห์ และร่างเนื้อหาบน ChatGPT > เกลาภาษา และปรับโทนเนื้อหาบน Claude > สร้างรูปภาพประกอบด้วย Midjourney หรือ DALL-E และนำไปสร้าง Artwork บน Canva หรือ Adobe
จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า เมื่อผู้ใช้งานยกระดับไปถึงขั้น AI Integrator จะช่วยลดระยะเวลาในการทำงานได้อย่างมาก และยังสามารถพัฒนาสายงานที่ทำได้หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย
เมื่อรู้จักวิธีการใช้งาน AI จนสามารถ Workflow แล้ว คำถามต่อมา คือ องค์กรจะเริ่มต้นสร้างแผน AI Transformation อย่างไร ?
คุณอ้นมองว่าการทำ AI Transformation ไม่ใช่เพียงแค่การใช้งานเครื่องมือ AI เป็น แต่เป็นการกำหนดกลยุทธ์ระดับองค์กร ว่าต้องการเป้าหมายอะไร เพราะการทำ AI Transformation ในองค์กรใช้เวลาในการดำเนินการ
ดังนั้นหากองค์กรวางเป้าหมายและกลยุทธ์ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก จะทำให้การ Transform องค์กรสำเร็จช้า หรือหลงเป้าหมายได้ และควรเป็นการขับเคลื่อนจากระดับผู้บริหาร (Top-Down) และที่สำคัญการสร้าง Mindset, Culture และ Skills ให้กับพนักงานมีความสำคัญกว่าการโฟกัสที่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว
ซึ่งคุณอ้นได้แจกเฟรมเวิร์ก AI Transformation Canvas ไว้ให้วางแผนองค์กรตามลำดับง่าย ๆ
1. เริ่มต้นที่การกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ เช่น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน, พัฒนาประสบการณ์ลูกค้า
2. กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ ที่สามารถวัดผลออกมาเป็นตัวเลขได้ เช่น เวลาในการสร้างคอนเทนต์, ROI จากแคมเปญ
3. สร้าง AI Use Case เช่น สร้างคอนเทนต์ด้วย Generative AI และกำหนดผลลัพธ์ระยะสั้นที่สามารถจับต้องได้ (Quick Win) โดยอาจเริ่มจากปัญหาที่พบบ่อย หรืองานรูทีนที่หากทำแล้ว จะช่วยลดเวลาการทำงานลงได้
4. การออกแบบกระบวนการใหม่ (Design Process) AI Transformation ไม่ใช่การนำ AI มา “ต่อเติม” กระบวนการเดิม ควร “รื้อ” กระบวนการเดิม แล้วออกแบบใหม่ทั้งหมด แบ่งบทบาทงานใหม่ระหว่าง AI, มนุษย์ หรือ AI ทำงานร่วมกับมนุษย์
เช่น การให้พนักงานแตกงานของตัวเอง เป็น Task เพื่อแยกให้ออกว่า งานไหนควรใช้ AI งานไหนไม่ควรใช้ AI หรือหากงานไหนใช้ AI ต้องใช้กี่เปอร์เซ็นต์ในงานนั้น เพื่อนำไปพัฒนาต่อในบางงานที่สามารถทำ AI Automation ได้
เช่น การให้พนักงานแตกงานของตัวเอง เป็น Task เพื่อแยกให้ออกว่า งานไหนควรใช้ AI งานไหนไม่ควรใช้ AI หรือหากงานไหนใช้ AI ต้องใช้กี่เปอร์เซ็นต์ในงานนั้น เพื่อนำไปพัฒนาต่อในบางงานที่สามารถทำ AI Automation ได้
5. กระจาย Workflow สู่แผนกต่าง ๆ ในองค์กร โดยต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องฐานข้อมูลองค์กร และเครื่องมือ AI ที่เหมาะสมกับงาน
และเมื่อวาง Workflow การทำงานได้แล้ว ก็จะสามารถนำบางงานมาทำกระบวนการ AI Automation ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดงานที่ซ้ำซ้อน, ลดความผิดพลาด และเพิ่มความเร็วของงาน และการตัดสินใจ
และเมื่อวาง Workflow การทำงานได้แล้ว ก็จะสามารถนำบางงานมาทำกระบวนการ AI Automation ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดงานที่ซ้ำซ้อน, ลดความผิดพลาด และเพิ่มความเร็วของงาน และการตัดสินใจ
6. ประเมิน และพัฒนาทักษะที่จำเป็น พนักงานต้องมี AI Literacy (ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ AI) ต้องมีความสามารถในการ Prompting (การสั่งงาน AI อย่างถูกต้อง)
คุณอ้นบอกว่า สิ่งที่ AI ชอบคือประสบการณ์ของคน คนที่มีประสบการณ์ ทำงานเยอะและใช้ AI จะเก่งกว่าคนที่แค่ใช้ AI เป็น รวมถึงอีกเรื่องที่องค์กรต้องให้ความสำคัญก็คือเรื่อง Governance
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่ากระบวนการ AI Transformation ในทุกขั้นตอนล้วนเกี่ยวข้องกับบทบาทของทุกคนในองค์กร ยิ่งทุกคนเข้าใจกระบวนการทำงานมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนสู่ AI Transformation เร็วมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น การทำ AI Transformation สิ่งที่สำคัญสุดคือเรื่อง “คน” ไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องมือ AI หรือการ Prompt แต่คนหรือพนักงานในองค์กรเป็นหัวใจหลักของการทำกลยุทธ์
ท้ายสุดนี้ คุณอ้นแนะนำว่าทุกองค์กรควรสร้าง “AI Champion” คนที่มีความเข้าใจใน AI อย่างลึกซึ้ง เพื่อมาขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระยะยาว เพราะคนกลุ่มนี้จะเป็นกำลังหลักให้การทำ AI Transformation เกิดขึ้นได้จริง
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของไอเดียในการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ AI Transformation เท่านั้น
หากใครที่ต้องการเรียนรู้ทักษะการ Prompt หรือวิธีใช้งาน AI ที่ลึกซึ้งมากขึ้น ก็สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ YouTube ช่อง AI Good Enough by AEIOU ที่พร้อมจะทำให้ทุกคนสามารถเข้าใจเรื่องยาก ๆ ได้ง่าย ๆ ในสไตล์ AEIOU