สรุป วิธีแบ่ง “งบโฆษณา” ให้เลือกช่องทางถูก ลูกค้าเข้าถึงง่าย ทำการตลาดได้ตามเป้า

สรุป วิธีแบ่ง “งบโฆษณา” ให้เลือกช่องทางถูก ลูกค้าเข้าถึงง่าย ทำการตลาดได้ตามเป้า

6 ธ.ค. 2025
ที่เห็นในรูปนี้คือ แผนผังช่องทางการโปรโมตผลิตภัณฑ์ซักผ้า Fineline ของ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน)
เจ้าของผลิตภัณฑ์ FMCG หรือสินค้าอุปโภค-บริโภคที่ใช้แล้วหมดไป เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม, สบู่, น้ำยาซักผ้า ที่คนไทยใช้กันเยอะมาก
ไม่ว่าจะเป็น Fineline, Smart, Tomi, BeNice, Tros, Eversense, Vivite และ D-Nee ถือเป็นอีกบริษัทของคนไทยแท้ ๆ ที่ยืนระยะสู้กับแบรนด์ต่างชาติมาได้หลายสิบปี
อยากรู้ไหมว่า ช่องทางที่บริษัทใหญ่ ๆ สนใจอยากทำการตลาดด้วยในยุคนี้ มีอะไรบ้าง ? MarketThink สรุปให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ

1. TVC (Television Commercial Advertising)
คือโฆษณาทางโทรทัศน์ เช่น ช่อง 3, 5, 7, 9 หรือเคเบิลทีวี ตามช่วงพักเบรกจากรายการหลัก
โดยวิธีที่หลาย ๆ แบรนด์ใช้ในการโฆษณาผ่านช่องทางตรงนี้ จะเป็นการใช้ ดารา คนดัง ที่มีฐานแฟนคลับเยอะ ๆ มาเป็นพรีเซนเตอร์ช่วยในการสื่อสารแบรนด์
เพราะช่องทีวีตรงนี้ มีจุดเด่นคือ เข้าถึงคนได้เยอะ แต่คนดูจะมีหลายกลุ่มมาก มีทั้งกลุ่มครอบครัว, ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่วัยรุ่น แต่เราจะไม่รู้เลยว่าคนที่ดูอยู่เป็นใคร
ดังนั้นการเลือกใช้คนที่มีฐานแฟนคลับให้เยอะ ๆ ไว้ก่อนจะมีโอกาสสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นให้แบรนด์ได้มากกว่าวิธีอื่น ๆ นั่นเอง
ซึ่งทางผู้บริหารนีโอ บอกว่า ในยุคนี้การโฆษณาผ่านทีวีก็ยังจำเป็นอยู่ และชอบเลือกลงโฆษณาเยอะ ๆ ใน “รายการข่าว” เป็นหลัก ส่วนรองลงมาคือรายการวาไรตี
2. PR (Public Relations)
เป็นการสื่อสารโดยใช้ “สื่อ” เช่น เว็บไซต์ข่าว, นิตยสาร หรือรายการสัมภาษณ์ เพื่อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์ในรูปแบบต่าง ๆ อาจจะเป็นบทความหรือรายการสัมภาษณ์ผู้บริหาร

จุดเด่นของการสื่อสารผ่านช่องทางนี้คือ แบรนด์จะได้มีโอกาสสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ ผ่านน้ำเสียงของตัวกลางคือ “สื่อ” ไม่ใช่แบรนด์พูดเองเหมือนโฆษณาประเภทอื่น ๆ
นอกจากนี้ PR จะมีจุดเด่นคือ สามารถสื่อสารในเรื่องลึก ๆ เช่น แนวคิดผู้บริหาร, กลยุทธ์ของแบรนด์ได้ดีมาก แถมยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ได้ง่าย

คล้าย ๆ กับเวลาที่เราเห็นสื่อใหญ่เอาเรื่องของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งมาพูด เราจะรู้สึกว่าแบรนด์นั้นดูน่าเชื่อถือนั่นเอง
3. OOH (Out-of-Home)
คือการสื่อสารแบรนด์ผ่านสื่อนอกบ้าน เช่น Billboard, Digital Screen, ป้ายบนรถไฟฟ้า และตามอาคารใหญ่ ๆ
มีข้อดีคือ สื่อประเภทนี้จะแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้า บางคนต้องเดินทางผ่านถนนเส้นเดิมทุกวัน ก็จะเห็นโฆษณาของแบรนด์ทุกวัน
ทำให้เกิด Brand Recall หรือการจดจำแบรนด์ได้ง่าย ซึ่งเหมาะมาก ๆ กับสินค้า FMCG ที่ลูกค้าต้องซื้อสินค้าไว้ใช้อยู่ตลอดเวลานั่นเอง

4. ออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย
การสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, TikTok หรือ YouTube เป็นช่องทางที่หลาย ๆ แบรนด์มองว่าสามารถเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยเสพสื่อผ่านช่องทางอื่น ๆ ได้ดีที่สุดแล้ว
ช่องทางนี้จะเหมาะกับการสร้าง Engagement เพราะเป็นช่องทางที่คนสามารถโต้ตอบกับแบรนด์ได้ หลาย ๆ แบรนด์เลยชอบใช้ช่องทางนี้มาสร้างไวรัลให้คนพูดถึงแบรนด์เยอะ ๆ
วิธีที่ นีโอ รวมถึงอีกหลายแบรนด์เลือกใช้ในการสื่อสารบนโซเชียลมีเดีย ก็คือใช้ KOL บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มาช่วยสื่อสารให้แบรนด์
สำหรับ นีโอ จะมีการแบ่งงบโฆษณาให้ครอบคลุม ตั้งแต่อินฟลูเอนเซอร์รายเล็ก ๆ ที่มีผู้ติดตามหลัก 1,000 คน ไปจนถึง KOL ที่มีผู้ติดตามเยอะ ๆ หลักแสนหลักล้านคน
ซึ่งช่วยให้สิ่งที่แบรนด์อยากจะสื่อสารดู “เรียล” และเข้าถึงง่ายมากขึ้นนั่นเอง
5. E-Commerce
เป็นการทำการตลาดผ่านแคมเปญหรือโปรโมชันบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่สามารถ “ปิดการขายได้เลย” เช่น
- ทำโปร 11.11 บน Shopee หรือทำ Flash Sale บน Lazada
- ทำโปรแกรม Affiliate บน TikTok Shop มอบส่วนแบ่งจากยอดขายให้คนที่มาทำคอนเทนต์ให้แบรนด์
โดยวิธีนี้จะเหมาะใช้กับการเร่งยอดขายระยะสั้น
เพราะการทำโปรโมชันบนช่องทางเหล่านี้ จะเน้นไปที่การลด แลก แจก แถม ทำให้ระยะยาวอาจเสียภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้นั่นเอง
6. Sampling
เป็นการแจกสินค้าให้ลูกค้าทดลองใช้ฟรี ๆ เหมาะใช้ในเวลาที่แบรนด์ออกสินค้าใหม่ ๆ ออกมา แล้วลูกค้ายังไม่คุ้นเคย
เช่น แจกน้ำยาซักผ้ากลิ่นใหม่ไซซ์เล็ก ให้ลูกค้ารู้จัก และเปิดใจให้สินค้าของเราง่ายขึ้นเมื่อถึงจุดที่ต้องตัดสินใจซื้อนั่นเอง
7. Roadshow
เป็นการทำกิจกรรมเดินสาย เช่น เปิดบูทในห้าง, ตลาดนัด หรือมหาวิทยาลัย พร้อมสร้างกิจกรรมต่าง ๆ ที่คนมีส่วนร่วมได้ง่าย
การทำแบบนี้จะช่วยสร้างความผูกพันกับลูกค้า และทำให้แบรนด์ดูเข้าถึงง่าย และมีตัวตนจริง ๆ แถมยังช่วยกระตุ้นยอดขายเฉพาะพื้นที่อย่างในต่างจังหวัดได้ดีมาก ๆ
8. Decorate / Display
การตกแต่งจุดขายในร้านค้าให้ดูโดดเด่น มักเห็นได้บ่อย ๆ ตาม Modern Trade อย่าง Lotus’s, Big C หรือ Makro ที่สินค้าของเราถูกวางคู่กับแบรนด์คู่แข่ง
โดยการใช้ของตกแต่งมาดึงสายตาลูกค้าเลยเป็นท่าที่ใช้ดึงความสนใจได้ดี
แถมถ้าเชลฟ์วางสินค้าของแบรนด์เราโดดเด่น
จะช่วยให้เกิดการซื้อแบบ “Impulse Purchase” หรือการซื้อในแบบที่ลูกค้าไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าได้ดีมาก ๆ อีกด้วย
สุดท้ายนี้ ต้องบอกก่อนว่า ธรรมชาติของสินค้า FMCG เป็นสินค้าที่ผู้คน “จำเป็นต้องใช้” และ “ใช้แล้วต้องซื้อซ้ำ” กันอยู่แล้ว
ทำให้คนทำสินค้า FMCG เลยจะแข่งขันกันสร้าง ความคุ้นเคย, การอยู่ในสายตา, ภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ, ทำให้สินค้าง่ายต่อการตัดสินใจซื้ออยู่เสมอ
ส่งผลให้การโฆษณาและช่องทางการทำการตลาดของผู้เล่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ จะค่อนข้างกว้างและเยอะกว่าสินค้าประเภทอื่น ๆ อยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลตรงนี้น่าจะเป็นไอเดียให้คนทำธุรกิจพอเห็นภาพของ ข้อดี ข้อเสีย ในการทำการตลาดแต่ละช่องทางได้
อ้างอิง :
- ข่าวประชาสัมพันธ์ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน)
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.