
JSP เผยราคายาทั่วโลกพุ่ง 10.4% เอเชียแปซิฟิกคว้าแชมป์พุ่ง 12.3% หนุนเทรนด์ดูแลสุขภาพตัวเองก่อนป่วยเติบโตทั่วโลกดันยอดขายอาหารเสริมปีนี้แตะ 1,000ลบ.
11 ธ.ค. 2025
- JSP เผยผลสำรวจพบราคายาทั่วโลกปี 2025 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.4% พบโซนเอเชียแปซิฟิก ราคาเพิ่มขึ้น 12.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ย เปิดสาเหตุจากเงินเฟ้อ และการผลิตยาที่ใช้นวัตกรรมซับซ้อนมากขึ้น
- ชี้ราคายาที่แพงขึ้นหนุนเทรนด์การกินอาหารเป็นยา Food as Medicine แพร่หลายจนกลายเป็นเมกะเทรนด์ทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่ไม่อยากป่วย เน้นดูแลร่างกายและจิตใจ
- เผยเป้าหมายยอดขาย JSP ปีนี้มีโอกาสเห็น 1,000 ล้านบาท รับปัจจัยหนุนเทรนด์คนรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ และราคายาแพงขึ้น ส่งผลผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้รับความสนใจช่วยได้รับสารอาหารครบตามปริมาณได้สะดวก ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันก่อนป่วย
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JSP) เปิดเผยว่า ราคายาและค่ารักษาพยาบาลโดยรวมในหลายประเทศในปี 2025 ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจของฝ่ายวิจัยพบว่า
1. ราคายาทั่วโลกปรับขึ้นจากปี 2024 ประมาณ 10.4% โดยราคายาในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นประมาณ 4.5% - 5.0% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นที่ต่ำกว่า 10% เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายควบคุมราคาในสหรัฐฯ ขณะที่ราคายาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ราคายาเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 12.3% ซึ่งถือเป็นภูมิภาคที่มีแนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการแพทย์โดยรวมเพิ่มขึ้นสูงสุดในโลก
สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้ราคายาปรับตัวสูงขึ้นในปี 2025 ประกอบด้วยยามีการใช้นวัตกรรมที่สูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงตาม โดยเฉพาะยาที่ใช้รักษาโรคเรื้อรังและโรคหายาก เช่น มะเร็ง, โรคภูมิต้านตนเอง, และการบำบัดด้วยยีนบำบัด/เซลล์บำบัด เป็นยาที่มีความซับซ้อนในการวิจัยและพัฒนาสูงมาก ทำให้มีราคาเริ่มต้นในการเปิดตัว (Launch Price) ที่สูงมาก
2. ปัญหาเงินเฟ้อและต้นทุนการดำเนินงาน อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตยา เช่น ราคาวัตถุดิบ การขนส่ง และพลังงาน รวมถึงค่าแรงในภาคบริการสุขภาพ ส่งผลต่อต้นทุนด้านบุคลากรทางการแพทย์ (พยาบาล, เภสัชกร, นักวิจัย) ที่เพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการที่สูงขึ้นและการขาดแคลนแรงงาน ก็ส่งผลต่อค่าบริการทางการแพทย์และราคายาด้วย
3. ต้นทุนการวิจัยและพัฒนา (R&D)ความซับซ้อนของการวิจัยแม้ว่าผลตอบแทนการลงทุนจากการวิจัยและพัฒนาจะดีขึ้น แต่ ต้นทุน R&D เฉลี่ยต่อยาใหม่หนึ่งตัว ยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากกระบวนการวิจัยทางคลินิกมีความซับซ้อนและมีข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น
นอกจากนี้ JSP ยังประเมินว่าราคายาจะมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องจากนี้ไปอย่างน้อยปีละ 10% จากปัจจัยนี้ส่งผลให้เทรนด์การดูแลสุขภาพก่อนป่วยจึงได้รับความนิยมจากทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่เริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพอย่างจริงจัง รวมถึงเทรนด์การกินอาหารเป็นยา (Food as Medicine) ด้วยการเลือกกินอาหารเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันและจัดการโรค โดยเน้นอาหารจากธรรมชาติ สมุนไพร และอาหารฟังก์ชันที่มีประโยชน์เฉพาะทาง เช่น ผัก ผลไม้ ปลาทะเล โยเกิร์ต และอาหารออร์แกนิค เพื่อบำรุงสุขภาพกายและจิตใจ
กลายเป็นเมกะเทรนด์ที่ขยายออกไปสู่ผู้คนทั่วโลก ซึ่งเทรนด์นี้เป็นปัจจัยหนุนสำคัญให้เกิดการขยายตัวของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารสกัดจากพืชและสมุนไพร เนื่องจากช่วยให้การได้รับสารอาหารครบตามปริมาณที่ร่างกายต้องการได้สะดวกรวดเร็ว และเป็นทางเลือกสำหรับวัยทำงานที่มีเวลาจำกัด ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันก่อนป่วย
ทั้งนี้เทรนด์ดังกล่าวยังสนับสนุนให้ยอดขายในส่วนของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของ JSP ภายใต้แบรนด์ “สุภาพโอสถ” มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยยอดขายในปีนี้คาดว่าจะทำได้ที่ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 845.9 ล้านบาท และคาดว่าในอนาคตยอดขายจะยังเติบโตตามเทรนด์ที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นเพราะไม่อยากเจ็บป่วยอีกทั้งยังหลีกเลี่ยงราคายารักษาโรคที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี