บทสัมภาษณ์: ผู้นำการปฏิวัติธนาคารเพื่อไมโครเอสเอ็มอีของประเทศไทย

บทสัมภาษณ์: ผู้นำการปฏิวัติธนาคารเพื่อไมโครเอสเอ็มอีของประเทศไทย

19 ธ.ค. 2025
นายรอยย์ ออกุสตินัส กุนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทธนาคารไทยเครดิต ถ่ายทอดมุมมองเกี่ยวกับแนวทางปล่อยสินเชื่อเฉพาะทางและนวัตกรรมดิจิทัลที่ช่วยยกระดับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังผลักดันการขยายบริการทางการเงินและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เครือข่ายผู้ประกอบการรายย่อย ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) (CREDIT) ซึ่งเป็นธนาคาร
เพื่อผู้ประกอบการรายย่อย ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจนอกระบบ
อย่างต่อเนื่อง ในบทสัมภาษณ์นี้ นายรอยย์ ออกุสตินัส กุนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อธิบายถึงแนวทางที่ธนาคารใช้เพื่อสร้างความแตกต่างในอุตสาหกรรมการธนาคารของไทย ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อไมโครเอสเอ็มอี การให้บริการบนพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้า ตลอดจนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยนับล้านราย ซึ่งมักถูกจำกัดการเข้าถึงบริการจากสถาบันการเงินกระแสหลัก สามารถเข้าถึงแหล่งทุนและโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น
ประวัติและพัฒนาการของ CREDIT มีความเป็นมาอย่างไร?
ประวัติของธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) มีจุดเริ่มต้นจากการดำเนินธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ในช่วงทศวรรษ 2513 ต่อมาเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดให้ยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารเพื่อการพาณิชย์ ผู้ถือหุ้นได้ขอรับใบอนุญาตโดยอาศัยความมั่นคงของฐานเงินทุน และได้รับใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารเพื่อการพาณิชย์ในปี 2549 ก่อนเริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2550 และในปี 2555 ทีมผู้บริหารชุดปัจจุบันได้กำหนดแผนพัฒนาใหม่โดยให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยหรือ
ไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) พร้อมทั้งปรับโครงสร้างองค์กรและเริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในปี 2558 ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ได้เปิดตัวธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ และเริ่มพัฒนา
ขีดความสามารถหลักขึ้นภายในองค์กร
“เราเลือกกลุ่มลูกค้าไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) เป็นตลาดเป้าหมายหลักเนื่องจากยังเป็นช่องว่างสำคัญในระบบเศรษฐกิจไทย” นายรอยย์ กุนารา ได้อธิบายว่า “ประเทศไทยในช่วงนั้นมีธุรกิจนอกระบบจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเป็นทางการได้ และมีสถาบันการเงินเพียงไม่กี่แห่งที่พร้อมให้บริการแก่ผู้ประกอบการที่ไม่มีข้อมูลภาษีหรือการบันทึกบัญชีที่เป็นระบบ”
ในอดีตผู้ประกอบการเหล่านี้มักพึ่งพาสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อแบบจำนำทะเบียนรถ หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีต้นทุนสูง เดิมธนาคารมีสินทรัพย์ราว 20,000 ล้านบาทในปี 2555 ประกอบไปด้วยสินเชื่อ
เอสเอ็มอี สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อรถยนต์ แต่พบว่าตลาดเหล่านี้มีการแข่งขันสูง จึงตัดสินใจปรับทิศทางสู่สินเชื่อไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) และภายหลังจากการปรับกลยุทธ์ พอร์ตสินเชื่อของธนาคารเติบโตจนมีมูลค่าประมาณ 180,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 20–30% อีกทั้งธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ยังสามารถทำกำไรได้ตั้งแต่ปีที่สองของการดำเนินธุรกิจตามโมเดลใหม่นี้
คำว่าเอสเอ็มอี (SMEs) และไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการธนาคาร แล้วธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ให้คำนิยามคำเหล่านี้อย่างไร?
นายรอยย์ กล่าวว่า “ลูกค้าหลักของเราคือผู้ประกอบการ เจ้าของร้านค้าขนาดเล็ก ผู้ค้ารายย่อย และธุรกิจครอบครัว โดยส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าเหล่านี้มีหลักประกันเพียงเล็กน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย และอาจไม่เข้าเกณฑ์สำหรับการขอสินเชื่อรายย่อยหรือบัตรเครดิต”
ธนาคารให้บริการแก่ลูกค้าสินเชื่อสองประเภท ได้แก่ สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยมีวงเงินสินเชื่อประมาณ 100,000–200,000 บาท ซึ่งโดยทั่วไปเป็นธุรกิจที่มีพนักงานไม่เกินห้าคนและมีข้อมูลทางการเงินที่เป็นเอกสารทางการไม่ครบถ้วน พอร์ตสินเชื่อไมโครและนาโนไฟแนนซ์ราว 20,000 ล้านบาทมาจากลูกค้าประมาณ 250,000 ราย ในขณะที่วงเงินประมาณ 150,000 ล้านบาทมาจากลูกค้าที่มีระดับความเสี่ยงสูงกว่าและอยู่ในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ
ปัจจัยใดทำให้ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) มีความโดดเด่นท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในภาคธนาคารไทย?
นายรอยย์ กล่าวว่า “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ของเรามีความแตกต่างอย่างชัดเจนคือการให้ความสำคัญอย่างลึกซึ้งต่อกลุ่มลูกค้าไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) โดยธนาคารมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ไปที่ผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจนอกระบบที่ไม่อยู่ในความสนใจของธนาคารขนาดใหญ่และมีโอกาสเข้าถึงผลิตภัณฑ์เอสเอ็มอีทั่วไปค่อนข้างจำกัด”
ธนาคารมองลูกค้ากลุ่มนี้ในฐานะผู้ประกอบการ ไม่ใช่ลูกค้ารายย่อย จึงต้องออกแบบกระบวนการพิจารณาสินเชื่อเฉพาะด้าน การบริหารความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด และรูปแบบการดำเนินงานที่แตกต่างจากธนาคารกระแสหลัก
ตลอดระยะเวลากว่าสิบปี ธนาคารได้พัฒนาแพลตฟอร์มไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME)เฉพาะทางขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสาขาสินเชื่อที่มีต้นทุนการดำเนินงานต่ำ การฝึกอบรมพนักงานอย่างเข้มข้นด้านการพิจารณาสินเชื่อและการบริหารความสัมพันธ์ รวมถึงการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดหลักความเชื่อว่า “ทุกคนมีความสำคัญ (Everyone Matters)”        
ธนาคารไทยเครดิตยังวางตำแหน่งตนเองโดยเปรียบเทียบกับธนาคารพาณิชย์มากกว่าสถาบันการเงิน
ของรัฐ มุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าธุรกิจแทนการปล่อยสินเชื่อภาคเกษตรกรรม และใช้โครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพควบคู่กับความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นความได้เปรียบที่ยั่งยืนขององค์กร
ปัจจุบันธนาคารมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจไปในด้านใดระหว่าง กลุ่มลูกค้ารายย่อย กลุ่มเอสเอ็มอี กลุ่มไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) หรือธนาคารดิจิทัล และพัฒนาการของโมเดลธุรกิจของบริษัทในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
นายรอยย์ กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญกับไมโครแบงกิ้งหรือธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งหมายถึงธุรกิจที่มีขนาดต่ำกว่ามาตรฐานของวิสาหกิจขนาดกลาง” ผู้บริหารมีความเชื่อว่าตลาดกลุ่มนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่รับรู้กันโดยทั่วไป เนื่องจากเศรษฐกิจนอกระบบมีสัดส่วนสูง จึงยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก
ในขณะที่โดยภาพรวม ตลาดการเงินมักแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็นเอสเอ็มอี ผู้บริโภค และลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ห้าแห่งยังคงครองตลาดเอสเอ็มอีอยู่เป็นส่วนใหญ่ ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) จึงตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) พร้อมทั้งขยายบริการไปสู่ธนาคารดิจิทัล
นายรอยย์ เสริมว่า “ภาคธนาคารไทยยังไม่เกิดประสบการณ์การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างแท้จริง เนื่องจากบริการหลากหลายประเภทในปัจจุบันถูกมองว่ายังคงพึ่งพาระบบ Core Banking (แกนกลาง) ของธนาคารในรูปแบบเดิม” ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ได้เปิดให้บริการธนาคารผ่านมือถือ และกำลังลงทุนเพิ่มเติมด้านเทคโนโลยี โดยตระหนักว่าการเปลี่ยนผ่านอย่างเต็มรูปแบบต้องใช้เวลา แต่จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตในระยะต่อไป
ปรัชญา “ทุกคนมีความสำคัญ (Everyone Matters)” ส่งผลต่อการกำหนดกลยุทธ์และกระบวนการดำเนินงานของธนาคารในด้านต่างๆ อย่างไร?
ปรัชญา “ทุกคนมีความสำคัญ” ถูกนำมาใช้เมื่อราวสิบปีก่อน และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทั้งกลยุทธ์และวัฒนธรรมองค์กร ในช่วงที่ธนาคารพัฒนารูปแบบธุรกิจเพื่อให้บริการผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งมักถูกมองข้าม เจ้าของธนาคารมองลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกิจการอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงลูกค้ารายย่อย จึงให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อบนพื้นฐานของความสัมพันธ์และการดูแลลูกค้าอย่างจริงใจ ซึ่งสอดคล้องกับคุณค่าความเป็นไทย เช่น ความเกรงใจ
ปรัชญานี้ยังสะท้อนผ่านโครงการส่งเสริมความรู้ทางการเงินของธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ซึ่งดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน โดยธนาคารได้จัดตั้งทีมงานเฉพาะทางประมาณ 25 คน และมีพนักงานอีกประมาณ 500–700 คนเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในแต่ละปี เพื่อร่วมกันดำเนินโครงการที่ปัจจุบันเข้าถึงผู้เข้าร่วมราว 60,000 คนต่อปี ผ่านความร่วมมือกับโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) กระทรวงมหาดไทย รวมถึงสถานศึกษาในหลายระดับ โครงการประกอบด้วยหลักสูตรอบรมมากกว่า 20 รายการ ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความน่าสนใจและนำไปใช้ได้จริง ครอบคลุมทักษะทางการเงินพื้นฐาน เช่น การออม และการหลีกเลี่ยงภาระหนี้ที่เกินความจำเป็น ทั้งนี้ โครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการไมโครและนาโนไฟแนนซ์ของธนาคาร
นายรอยย์ กล่าวว่า “เราไม่ได้มองโครงการนี้ว่าเป็นเพียงกิจกรรมเพื่อสังคม หรือช่องทางสร้างโอกาสทางธุรกิจ หากแต่ให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนและสนับสนุนให้ธุรกิจขนาดเล็กเติบโตอย่างยั่งยืน” ในกิจกรรมดังกล่าวจะไม่มีการนำเสนอสินเชื่อหรือส่งเสริมผลิตภัณฑ์ใด ๆ เพื่อรักษาความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของโครงการ แม้ธนาคารใช้งบประมาณด้านการตลาดเพียงเล็กน้อยในการสร้างแบรนด์ แต่ด้วยปรัชญาการดำเนินงานที่ยึดถือมาต่อเนื่อง ทำให้สามารถสร้างความไว้วางใจที่มั่นคงกับลูกค้าและชุมชนได้
โอกาสที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) มองเห็นในช่วง 3–5 ปีข้างหน้าคืออะไร?
ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) มองเห็นโอกาสสำคัญสามประการในช่วงสามถึงห้าปีข้างหน้า ได้แก่ การขยายการเข้าถึงลูกค้าไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME)ให้ลึกยิ่งขึ้น การยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานผ่านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่โดยใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่
เศรษฐกิจนอกระบบและกลุ่มไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับบริการไม่ทั่วถึง โดยธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ประเมินว่าส่วนแบ่งตลาดของบริษัทมีอยู่เพียงประมาณ 2% จึงยังมีพื้นที่ให้เติบโตได้อีกมาก ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ได้ลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายก้าวสู่การเป็นธนาคารดิจิทัลเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้ ปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างจัดทำกลยุทธ์และเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อนำเสนอสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลดังกล่าว
ปัจจุบันลูกค้าประมาณครึ่งหนึ่งได้เปลี่ยนจากการใช้เงินสดมาใช้ธุรกรรมดิจิทัลผ่านหนึ่งในแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคาร การเพิ่มสัดส่วนการใช้บริการดิจิทัลนี้จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานและเสริมประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
รบกวนช่วยสรุปผลงานทางการเงินที่โดดเด่นของธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่าน?
นายรอยย์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “รูปแบบธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) ของเราได้สร้างการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรที่มั่นคงมาอย่างต่อเนื่อง” ตลอดเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา แม้ธนาคารยังมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ถือเป็นหนึ่งในธนาคารที่เติบโตเร็วที่สุด
พอร์ตสินเชื่อของธนาคารขยายตัวจากประมาณ 20,000 ล้านบาทเมื่อเริ่มปรับทิศทางธุรกิจในปี พ.ศ. 2555 มาเป็นราว 180,000 ล้านบาทในปัจจุบัน และตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ธนาคารสามารถรักษาการเติบโตด้านกำไรได้อย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ปีแรก ๆ ของกลยุทธ์นี้ พอร์ตสินเชื่อของธนาคารประกอบด้วยสินเชื่อ
ไมโครและนาโนไฟแนนซ์ประมาณ 20,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าประมาณ 250,000 ราย และสินเชื่ออีกราว 100,000 ล้านบาทสำหรับกลุ่มลูกค้ากลุ่มที่มีจำนวนน้อยแต่มีวงเงินกู้สูงกว่า
ในด้านแหล่งเงินทุน ธนาคารมีสาขารับฝากเงินจำนวน 33 แห่ง บริหารเงินฝากรวมประมาณ 130,000 ล้านบาท โดยแต่ละสาขามีประสิทธิภาพการดำเนินงานอยู่ในระดับสูง ด้วยกลยุทธ์ที่รอบคอบและมีวินัย ธนาคารสามารถสร้างผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE) ได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 15–20% ถือเป็นหนึ่งในระดับที่สูงที่สุดในภาคธนาคารไทย
ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) มีกระบวนการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่ออย่างไร ภายใต้การขยายตัวของสินเชื่อที่รวดเร็วผนวกกับความผันผวนของวัฏจักรเศรษฐกิจในปัจจุบัน?
นายรอยย์ กล่าวว่า “เนื่องจากรูปแบบธุรกิจของธนาคารมีความเสี่ยงสูงควบคู่กับผลตอบแทนที่สูง” ธนาคารจึงบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบโดยอาศัยการปล่อยสินเชื่อบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ วัฒนธรรมที่ให้ความใส่ใจต่อลูกค้า และการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นในด้านการพิจารณาสินเชื่อ การติดตามหนี้อย่างรัดกุม และการสร้างความผูกพันกับลูกค้า
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญคือความเข้าใจตลาดท้องถิ่นอย่างถ่องแท้ ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ได้ลงพื้นที่ สำรวจและจัดทำแผนที่ตลาดแบบดั้งเดิมทั่วประเทศที่มีร้านค้าเกินกว่า 200 ร้าน และขณะนี้สามารถให้บริการตลาดเหล่านี้ได้ราว 90% ผ่านสาขาสินเชื่อของธนาคาร แม้ในช่วงที่หลายธนาคารทยอยปิดสาขา ธนาคารไทยเครดิตกลับสามารถขยายสาขาในรูปแบบต้นทุนต่ำได้ต่อเนื่อง และมีเพียงไม่กี่แห่งที่ยังไม่เกิดผลกำไร ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของรูปแบบธุรกิจของบริษัท
แนวทางดังกล่าวเมื่อผสานกับการติดตามพอร์ตสินเชื่ออย่างใกล้ชิด ช่วยให้ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) รักษาระดับอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan: NPL) ให้อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดในกลุ่มสินเชื่อขนาดใกล้เคียง แม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแรง
ในมุมมองของคุณ ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) จะพัฒนาตนเองไปสู่สถานะเช่นใดภายในปี พ.ศ. 2573?
นายรอยย์กล่าวว่า “กลยุทธ์สำคัญที่สุดของธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) คือการเติบโต” โดยธนาคารมีเป้าหมายระยะยาวที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสิบธนาคารชั้นนำของประเทศภายในห้าปีข้างหน้า และภายในปี พ.ศ. 2578 ธนาคารตั้งเป้าหมายที่จะได้รับการยอมรับในฐานะธนาคารสำคัญของไทย โดยเฉพาะบทบาทในการให้บริการกลุ่มไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) และผู้ประกอบการรายย่อยที่มีศักยภาพ
ธนาคารมุ่งบรรลุเป้าหมายดังกล่าวผ่านการขยายธุรกิจหลักด้านไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME)และนาโนไฟแนนซ์ ควบคู่กับการรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ บนพื้นฐานการพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัล ปัจจุบันธนาคารมีพนักงานประมาณ 5,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้จัดการความสัมพันธ์และทีมงานขายที่พบปะและให้บริการลูกค้าโดยตรง ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างงานด้านสินเชื่อและงานสนับสนุนส่วนหลังบ้านที่มีความคล่องตัว ส่งผลให้องค์กรสามารถดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.