RS เข้าลงทุนใน “สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง” เสริม Ecosystem ให้แข็งแกร่ง พร้อมคว้าใบอนุญาตสินค้ากัญชงกัญชา

RS เข้าลงทุนใน “สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง” เสริม Ecosystem ให้แข็งแกร่ง พร้อมคว้าใบอนุญาตสินค้ากัญชงกัญชา

17 ส.ค. 2021
“ผู้ที่อยู่รอด ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแรงที่สุดหรือฉลาดที่สุด
แต่คือผู้ที่ปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุด”
ประโยคอันโด่งดังจากทฤษฎีด้านวิวัฒนาการฯ ของชาร์ลส์ ดาร์วิน นี้
ถ้าถามว่าใครเป็นตัวแทนของประโยคนี้ได้ดีในโลกธุรกิจ
หนึ่งในนั้นก็ต้องยกให้กับบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS
เพราะตลอด 45 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ RS เริ่มต้นทำธุรกิจเพลง
ภายใต้การนำของคุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ เฮียฮ้อ
บริษัทก็ได้มองหาความเป็นไปได้ทางธุรกิจใหม่ ๆ อยู่เสมอ และขยายไปสู่ธุรกิจวิทยุ, สื่อโทรทัศน์
จนกลายเป็นผู้นำในธุรกิจสื่อและความบันเทิงครบวงจร
แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน โลกเปลี่ยนไป ปัจจุบันธุรกิจบันเทิง ไม่ได้หอมหวานเหมือนแต่ก่อน
ด้วยดีเอ็นเอของ RS ที่ต้องการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน
ทำให้ RS ไม่เคยหยุดนิ่ง มองไกลออกไปเกินขอบเขตธุรกิจบันเทิง ไม่ยึดติดกับธุรกิจเดิม ๆ อีกต่อไป
RS จึงหันมาจับธุรกิจพาณิชย์ จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม, อาหารเสริม, รังนก, สินค้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือแก็ดเจ็ตต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโต
ผ่านแพลตฟอร์มของตัวเองอย่าง “RS Mall” และ “COOLanything”
สื่อโทรทัศน์ช่อง 8 และสื่อวิทยุ ผ่านคลื่น COOLfahrenheit
รวมถึงจำหน่ายผ่านออนไลน์มาร์เก็ตเพลส และ Modern Trade
ภายใต้กลยุทธ์ Entertainmerce ที่นำจุดแข็งที่มีอยู่เดิมของธุรกิจ เช่น ดาราศิลปิน, คอนเทนต์, สื่อ และความชำนาญในการเล่าเรื่อง (Storytelling) มาผสานกับสินค้าใหม่ ๆ ที่ RS วางจำหน่ายในตลาด
ถ้าดูแหล่งรายได้ของ RS
ปี 2563 บริษัทมีรายได้ 3,790 ล้านบาท เติบโต 5%
โดยมีสัดส่วนรายได้ มาจาก
ธุรกิจพาณิชย์ หรือ คอมเมิร์ซ 63%
ธุรกิจสื่อ 30%
ธุรกิจเพลงและอื่น ๆ 7%
มาในวันนี้ แม้ว่า RS จะประสบความสำเร็จในธุรกิจพาณิชย์อย่างที่ตั้งใจไว้แล้ว
แต่บริษัทก็ยังไม่หยุดคิดที่จะปรับตัว และขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งอีกหนึ่งในกลยุทธ์ที่ RS เลือกใช้สำหรับสร้างโอกาสทางธุรกิจ
ก็คือ การเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยเฉพาะธุรกิจเมกะเทรนด์ที่กำลังเติบโต เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพาณิชย์
ประกอบกับการเสริม Ecosystem โดยรวมของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และมีความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่ง
อย่างเทรนด์การดูแลและใส่ใจสุขภาพ ที่มีการเติบโตในช่วงไม่นานนี้
โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ที่ทำให้สินค้าเพื่อสุขภาพ ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น
ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและวิตามินเติบโตสูง โดยปี 2563 มีมูลค่าตลาดกว่า 25,000 ล้านบาท
ด้วยเหตุนี้ RS จึงได้เน้นจำหน่ายสินค้าสุขภาพและความงาม
โดยมี RS Mall เป็นแพลตฟอร์มหลัก และรายได้ของ RS Mall กว่า 90% ก็มาจากสินค้าเพื่อสุขภาพ
ทำให้ในช่วงโควิด 19 ในปี 2563 นี้ RS มีรายได้จากสินค้าเพื่อสุขภาพ 2,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,800 ล้านบาท ในปีก่อนหน้า
เมื่อเห็นเทรนด์การเติบโตที่โดดเด่นแบบนี้แล้ว
RS จึงไม่รีรอที่จะมองหาการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตแบบ New S-Curve และเสริมศักยภาพของธุรกิจพาณิชย์ของบริษัท
โดยล่าสุด RS ได้ปิดดีลเข้าลงทุนใน “บริษัท สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง” ในสัดส่วน 33% ด้วยมูลค่าการลงทุน 675 ล้านบาท
แล้วบริษัท สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง คือธุรกิจอะไร ?
สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง เป็นผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยพัฒนาและผลิตเครื่องสำอาง, อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล
และยังเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสารสกัดธรรมชาติและสมุนไพรไทยที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกด้วย
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า สมุนไพรไทย ก็เป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ
โดยตลาดส่งออกสมุนไพรไทย กำลังได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมามีมูลค่าตลาดสูงถึง 80,000 ล้านบาท
จึงทำให้ธุรกิจผลิตสารสกัดจากสมุนไพรไทย มีอัตราการเติบโตตามไปด้วย นั่นเอง
นอกจากนี้ บริษัท สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง ยังได้รับใบอนุญาตในการผลิตและสกัดกัญชงกัญชา ทั้งยังประกอบไปด้วยบริษัทย่อยที่น่าสนใจ ดังนี้
1. บริษัท สเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด
ผู้ผลิตสารสกัดสมุนไพรไทย และผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย
2. บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด
ผู้วิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตเครื่องสำอาง, อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล ทั้งยังเป็นผู้ผลิตแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
3. บริษัท คาเน อินโนเวชั่น จำกัด
ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมแพ็กเกจจิง ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนตัว สามารถออกแบบและผลิตได้หลากหลายรูปแบบ
4. บริษัท เวลโนเวชั่นส์ จำกัด
ผู้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างแบรนด์สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและอาหารเสริม เพื่อทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ
แล้วผลประกอบการของธุรกิจสเปเชียลตี้ เป็นอย่างไร ?
ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจสเปเชียลตี้ มีรายได้รวม 491 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 114 ล้านบาท เติบโตกว่า 8 เท่า
เป็นผลมาจากตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและอาหารเสริมเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีความต้องการสั่งผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง, อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติ เพิ่มขึ้น ทั้งจากลูกค้าในและต่างประเทศ อีกด้วย
แล้ว RS จะได้รับประโยชน์ใด ?
จะเห็นได้ว่า การเข้าลงทุนในบริษัท สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง เป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ลงล็อกพอดี สำหรับการขยายศักยภาพในการพัฒนาและผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามของ RS
ที่สำคัญก็คือ การลงทุนในครั้งนี้ ยังทำให้ RS ได้ถือใบอนุญาตในการสกัดและผลิตสินค้ากัญชง-กัญชา ซึ่งจะออกจำหน่ายในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ อีกด้วย
นับเป็นการเพิ่มโอกาสและมูลค่าทางธุรกิจอันมหาศาลให้กับ RS
รวมถึงส่งเสริม Ecosystem ของบริษัทให้แข็งแกร่งและสมบูรณ์มากขึ้น
ผ่านการ Synergy ธุรกิจระหว่างกันของทั้ง 2 กลุ่มบริษัท ตามกลยุทธ์ Entertainmerce
ผลก็คือ ต่างฝ่ายต่างสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากร, Know-how และจุดแข็งของกันและกันได้
ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำไปจนถึงธุรกิจปลายน้ำ เช่น การวิจัยและพัฒนา, การควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก, การผลิต ไปจนถึงเรื่องของการตลาด, ช่องทางจัดจำหน่าย และการส่งมอบสินค้า
โดยการขยายหรือควบรวมธุรกิจ แบบครอบคลุมทั้งต้นน้ำ-ปลายน้ำ
มีชื่อเรียกว่า “กลยุทธ์การขยายธุรกิจในแนวดิ่ง (Vertical Integration)”
ตัวอย่างประโยชน์หลัก ๆ ของกลยุทธ์นี้ คือ
- ช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมผลิตภัณฑ์ ในห่วงโซ่อุปทาน
- เพิ่มความยืดหยุ่น ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัท ที่อยู่ภายในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน
สรุปแล้ว ดีลนี้ถือว่า Win-Win ทั้งสองฝ่าย..
ด้วยพื้นฐานของบริษัท สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัย พัฒนา และผลิตเครื่องสำอาง, อาหารเสริม และสารสกัดสมุนไพรไทย
จึงช่วยให้ธุรกิจพาณิชย์ของ RS ที่จำหน่ายสินค้าสุขภาพและความงามเป็นหลัก
จะมีสินค้านวัตกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ตอบโจทย์ผู้บริโภค และตลาดสุขภาพที่กำลังขยายตัวไม่สิ้นสุด
รวมทั้งยังขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ด้วยฐานลูกค้าเดิม และคนที่ต้องการผลิตภัณฑ์ของสเปเชียลตี้
นอกจากจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายแล้ว
ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อมีจำนวนลูกค้ามากขึ้น RS ก็จะได้รับข้อมูลอันมีค่ามาอยู่ในมือเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีฐานลูกค้า RS Mall กว่า 1.6 ล้านคน
ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า
เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและการบริการให้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ลูกค้ายิ่งขึ้น
รวมถึง การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของตลาด เพื่อขยายธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต อีกด้วย
ขณะเดียวกัน RS เป็นผู้นำในด้านการทำการตลาด สร้างคอนเทนต์ มีสื่อ มีดาราศิลปิน
และมีช่องนำเสนอและจัดจำหน่ายสินค้าขนาดใหญ่ ทั้งผ่านแพลตฟอร์มของตัวเองและพันธมิตร
จึงเป็นการช่วยเหลือ สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง ในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก และติดตลาดมากขึ้น
รวมถึงยังเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจำนวนมากของ RS ได้ในพริบตา..
โดยบริษัท สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง กำลังวางแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2565 นี้ อีกด้วย
น่าติดตามว่า ต่อจากนี้..
RS และสเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง ที่ติดปีกให้กันและกัน จะพากันบินไปได้ไกลแค่ไหน ในโลกธุรกิจ..
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.