CEO เซ็นทรัล รีเทล เผยวิสัยทัศน์ ชี้ผู้นำและองค์กร ต้องรีเซ็ต ซึ่งเป็นทางรอดในยุคที่โลกเปลี่ยน

CEO เซ็นทรัล รีเทล เผยวิสัยทัศน์ ชี้ผู้นำและองค์กร ต้องรีเซ็ต ซึ่งเป็นทางรอดในยุคที่โลกเปลี่ยน

25 ส.ค. 2021
อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์ที่ท้าทาย และส่งผลกระทบที่คาดไม่ถึงมากมาย แต่เทียบไม่ได้เลยกับวิกฤติโควิดครั้งนี้ ที่ทำให้โลกต้องหยุดชะงักและพลิกผัน
ไม่ว่าประเทศไหน อุตสาหกรรม ธุรกิจ หรือบุคคลใด ก็ย่อมต้องเจออุปสรรคทั้งสิ้น
ประเทศไทยเองต้องเผชิญกับหลุมดำ สูญเสียรายได้กว่า 2.6 ล้านล้านบาท
หนี้ภาคครัวเรือนและหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และอัตราการว่างงานที่อาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 3.4 ล้านคนในสิ้นปีนี้
นี่เป็นเพียงบาดแผลส่วนหนึ่งของวิกฤติสุขภาพ ที่ทุกภาคส่วนต้องจัดการต่อไปอีกหลายปี
วิกฤติโควิด ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน 2 มิติ
มิติแรกคือ วิกฤติด้านสาธารณสุข ที่ส่งผลแบบโดมิโนเอฟเฟคต์ไปยังภาคเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม
มิติที่สองคือ ตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็วเป็น 10 เท่าจากเดิม
ช่องว่างระหว่างผู้นำกับผู้ตามกว้างขึ้น การปรับตัวให้ทันเวลาจะเป็นตัวชี้วัดว่า ใครจะอยู่หรือใครจะไป ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงแบบ K-Curve นี้
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC
เผยถึงวิสัยทัศน์ของ เซ็นทรัล รีเทล ในงานสัมมนาแบบ Virtual “Thailand Focus 2021: Thriving in the Next Normal” ซึ่งจัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ว่า “เราอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราต้องตอบสนอง ปรับตัว ยืดหยุ่นอย่างว่องไว เพื่อที่จะวิ่งตามลูกค้าให้ทัน เพราะตอนนี้ลูกค้ามองหาสิ่งที่ ‘มากกว่า’ จากการลงทุนที่ ‘น้อยกว่า’
พวกเขามองหามูลค่าที่มากขึ้น ตัวเลือกที่มากขึ้น และความสะดวกสบายที่มากขึ้น
ภายใต้ความเรียบง่าย อุปสรรค และข้อจำกัดที่น้อยลง เราต้องพร้อมที่จะนำเสนอรูปแบบธุรกิจ ที่จะตอบโจทย์ความไม่แน่นอนเหล่านั้น”
ด้วยวิสัยทัศน์ และความเป็นผู้นำที่พร้อมปรับตัวอยู่ตลอด เซ็นทรัล รีเทล ได้ริเริ่มพัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชนแนล มาตั้งแต่ปี 2560 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “New Central, New Retail” ที่กลายเป็นโรดแม็ปในการดำเนินธุรกิจ และทำให้ เซ็นทรัล รีเทล ก้าวสู่การเป็นบริษัทค้าปลีกแบบออมนิแชนแนล ที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างเต็มรูปแบบ
เพื่อเชื่อมประสบการณ์การชอปปิงไร้รอยต่อ ระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ สร้างประสบการณ์แบบ Personalization โดยนำเสนอรูปแบบการชอปปิงแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละบุคคล และให้บริการที่สะดวกสบาย ตรงความต้องการ และรวดเร็วแก่ลูกค้า เช่น บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง, บริการส่งสินค้าเร็วภายใน 3 ชั่วโมง
พร้อม ๆ กับสร้างความมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูล, การขนส่ง และความรวดเร็ว
รวมถึงการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ด้านสุขภาพ เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์, โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลเปาโล เพื่อให้บริการเข้าถึงลูกค้า, ผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์ได้มากขึ้น
และการจับมือกับพาร์ตเนอร์ควิกคอมเมิร์ซอย่าง แกร็บ, ฟู๊ดแพนด้า และไลน์ฯ
ภาคธุรกิจจะต้องปรับตัวเข้าสู่ยุค Next Normal โดยโฟกัสที่เทรนด์ด้านสุขภาพ และประสบการณ์เป็นหลัก ทั้งนี้ยังต้องยึดหลักการทำธุรกิจ บนความเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องชุมชนและสิ่งแวดล้อม ให้คุณค่ากับจริยธรรมขององค์กร และคาดหวังให้แบรนด์เป็นผู้นำในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดี
ดังนั้นแบรนด์ จะต้องวางเป้าหมายให้ชัดเจน และแสดงให้เห็นถึงความยึดมั่นต่อเป้าหมาย โดยไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด แบรนด์ก็ยังต้องเน้นการให้คุณค่าและการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในเชิงลึก
อย่างในสถานการณ์ขณะนี้ ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในเรื่องการจับจ่ายมากขึ้น แต่ก็ให้ความสำคัญต่อสุขภาพ ผู้บริโภคยินดีใช้จ่ายในด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยมากขึ้น
พร้อมทั้งมองหาประสบการณ์ ที่จะช่วยเชื่อมต่อโลกเสมือนจริงกับโลกที่เป็นอยู่ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
เซ็นทรัล รีเทล รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก โดยให้ความสำคัญกับเรื่องความหลากหลายของผู้คนในโลกแบบไฮบริด ทั้งลูกค้า และพนักงานในองค์กร โดยเรามีแนวทางในการดำเนินงาน ดังนี้
-ต้องเป็นองค์กรที่รับฟัง เข้าอกเข้าใจ และมีการสื่อสารที่ชัดเจนกับกลุ่มคนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย
-ต้องปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยโฟกัสไปที่จุดแข็ง เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับองค์กร เช่น
ด้านความเร็ว-กล้าตัดสินใจ เพื่อตามการเปลี่ยนแปลงให้ทัน
ด้านสินทรัพย์-พยายามทำตัวให้เบา เลือกเก็บสิ่งที่มีค่า และกระจายความเสี่ยงออกไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในด้านการจ้างงานภายใน/ภายนอก และการมองหาพาร์ตเนอร์
รวมถึงการปรับทีมทำงาน-ทำให้องค์กรเคลื่อนตัวได้เร็ว และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเผชิญความท้าทายจากปัจจัยภายนอก
-ต้องปรับเป้าหมายธุรกิจ ไม่ได้มุ่งเน้นแค่ยอดขายหรือกำไรเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้า และประสบการณ์ที่สร้างเสริมทักษะให้กับพนักงาน เพื่อเพิ่มคุณค่า และสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กร อันจะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
“ท้ายที่สุดแล้ว เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปสู่สิ่งที่เคยเป็นได้ ต้องมองไปข้างหน้า และปรับเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจ เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับโควิดไปอีกนาน
การใช้ชีวิตแบบ 10X DNA จะเป็นตัวเปลี่ยนเกม และกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่มากขึ้น และยั่งยืน
ซึ่งประกอบด้วย D-Daring (กล้าที่จะลอง), N-Never Stop (ไม่หยุดยั้ง) และ A-Agile (ยืดหยุ่น ปรับตัวเร็ว)
เราต้องกล้าคิดการใหญ่ แต่ทำให้ใหญ่กว่าที่คิด ต้องยอมรับข้อผิดพลาดและพร้อมแก้ไขทันที
กล้าที่จะล้มเพื่อเรียนรู้และทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม เราต้องไม่หยุดพัฒนา และไม่เดินหน้าเพียงคนเดียว
การจับมือก้าวไปพร้อมกัน ทำให้เราไปได้ไกลกว่า และมั่นคงกว่า และนี่คือเวลาของการเริ่มต้นใหม่ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในยุคที่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป (Never-normal World)” นายญนน์ กล่าวปิดท้าย
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.