หลัง 7-Eleven ขายแบรนด์หรู Coach ออกแจ้งว่า ให้สิทธิ์บริษัท Pacifica Elements จำหน่ายสินค้าในไทยเท่านั้น
3 มี.ค. 2022
จากข่าวเมื่อไม่นานมานี้ ที่มีกระแสว่า 7-Eleven ไลฟ์ขายสินค้าแบรนด์เนมที่เป็นสินค้า Outlet ผ่านทางแฟนเพจ 7-Eleven Thailand และยังขายสินค้าบางรายการในราคาที่ถูกกว่าบนช็อปเสียด้วย
ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารย์มากมาย ถึงความที่ 7-Eleven จะขายทุกอย่าง ตั้งแต่ของกินของใช้ประจำวันทั่วไป ไปจนถึงกระเป๋าแบรนด์เนม
โดยในตอนแรก ทาง 7-Eleven ก็ได้มีการลงขายกระเป๋าแบรนด์เนมผ่านแอป 7-Eleven All Online ด้วย แต่ว่าสินค้าในบางรายการ ก็เริ่มถูกลบไปเรื่อย ๆ
และในตอนนี้ สินค้าของแบรนด์หรู เช่น Gucci, Coach, Celine, Balenciaga พบว่าเสิร์ชหาไม่เจอแล้ว..
แล้วล่าสุด ก็ยังมีบริษัท Pacifica Group ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิ์ในการนำเข้า และจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Coach อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ที่ทำหนังสือออกมาชี้แจงว่า
“Coach Thailand จำหน่ายสินค้ากระเป๋าแฟชั่นโดยมีบริษัท Pacifica Elements Co.
นำเข้าและเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์แบรนด์ Coach อย่างเป็นทางการ
นำเข้าและเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์แบรนด์ Coach อย่างเป็นทางการ
ทางบริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่ายใน 10 ร้านค้าทั่วประเทศไทย และช่องทางออนไลน์ทั้งหมด 4 ช่องทาง ได้แก่
-Coach Thailand LINE Official : @CoachTH
-Coach Outlet LINE Official : @CoachoutletTH
-Lazada (Laz Mall) : Coach Flagship Store
-Central Online : central.co.th/coach
-Coach Outlet LINE Official : @CoachoutletTH
-Lazada (Laz Mall) : Coach Flagship Store
-Central Online : central.co.th/coach
และการซื้อสินค้านอกเหนือจากการให้บริการจากทางแบรนด์ตามช่องทางที่ระบุข้างต้น บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการรับผิดชอบในทุกกรณี”
เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่น่าคิดในมุมการตลาด ว่าทำไม 7-Eleven ถึงได้ออกมาไลฟ์ขายของแบรนด์เนม
เพราะจริง ๆ แล้ว 7-Eleven น่าจะรู้ดีว่า สินค้าแบรนด์เนมนั้นไม่ได้วัดกันที่ตัวราคาที่ถูก หรือการเข้าถึงที่ง่าย แต่สินค้าแบรนด์เนม ขายความพึงพอใจทางอารมณ์ให้กับกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
ซึ่งก็แน่นอนว่าคงไม่มีแบรนด์เนมแบรนด์ไหน ที่อยากให้สินค้าของตนเองดูมีภาพลักษณ์ที่เข้าถึงง่ายเหมือนของกินของใช้ทั่ว ๆ ไป
เนื่องจากสินค้าแบรนด์เนม มีจุดขายในเรื่องคุณค่า ความหายาก ทั้งในด้านปริมาณที่ไม่ได้เน้นผลิตออกมามาก ๆ และราคาที่ตั้งไว้สูง
ลองคิดดูว่า ถ้าหากวันหนึ่ง เราทุกคนสามารถซื้อ Gucci ได้ในราคา -60% เหมือนกันหมด แน่นอนว่าในตอนแรก ทุก ๆ คนคงแห่กันไปซื้อ
แต่ผลที่ตามมาคือ ภาพลักษณ์ของ Gucci จะกลายเป็นสินค้าของตลาดมวลชนไปในไม่ช้า หลุดออกจากนิยามของสินค้า Hi-end แล้วสุดท้ายลูกค้าที่ Gucci ได้มา ก็จะไม่ใช่กลุ่มลูกค้าที่แท้จริง
ถึงวันนั้นถ้าคิดจะเลิกลดราคา แน่นอนว่าภาพลักษณ์ ก็คงจะสู้แบรนด์เนมอื่น ๆ ที่ไม่เคยใช้กลยุทธ์ด้านราคาหนัก ๆ ตั้งแต่แรก ไม่ได้แน่นอน
ทั้งหมดก็เป็นเรื่องของการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ
และการกำหนด Positioning หรือจุดยืนทางการตลาดของแบรนด์ นั่นเอง..
และการกำหนด Positioning หรือจุดยืนทางการตลาดของแบรนด์ นั่นเอง..