ภูริต ภิรมย์ภักดี วิธีการ “สร้างคน” เมื่อต้องหาจุดสมดุลให้ธุรกิจระหว่าง “ดูแลคนแบบครอบครัว” และ “ปั้นให้เป็นมืออาชีพ” เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน

ภูริต ภิรมย์ภักดี วิธีการ “สร้างคน” เมื่อต้องหาจุดสมดุลให้ธุรกิจระหว่าง “ดูแลคนแบบครอบครัว” และ “ปั้นให้เป็นมืออาชีพ” เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน

14 พ.ย. 2022
ความท้าทายสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโต คือความสามารถในการ “สร้างคน” โดยเฉพาะการสร้างให้ทุกคนในองค์กรมีความเป็นทีมเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน และมองเห็นทิศทางที่องค์กรจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเป็นภาพเดียวกัน แต่ท่ามกลางบริบททางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั้น จึงค่อนข้างเป็นไปได้ยากและอาจนำมาซึ่งปัญหาช่องว่างระหว่างวัย หรือ Generation Gap ได้
มุมมองของ คุณภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ในฐานะผู้นำองค์กร ได้ฉายให้เห็นถึงภาพใหญ่ที่ต้องการให้ทุกคนในบุญรอดมองตรงกัน คือ การขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน จนสามารถเติบโตสู่การเป็นองค์กร 100 ปี หรือ 200 ปี พร้อมทั้งส่งต่อความแข็งแกร่งของธุรกิจให้ได้รับการยอมรับจากทั้งลูกค้าและสังคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์สิงห์ ที่สะท้อนได้ถึงความเป็นบุญรอดกลายเป็น Heritage ที่สามารถรักษาและส่งต่อความเชื่อมั่นที่ลูกค้าและสังคมมีต่อแบรนด์ไปได้แบบรุ่นสู่รุ่น
ซึ่งการที่ธุรกิจจะยืนหยัดอยู่ให้ได้หลาย ๆ ศตวรรษนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นอยู่ในหลาย ๆ ประเทศ ที่บริษัทซึ่งเริ่มต้นมาจากธุรกิจครอบครัว แต่ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีความขลัง ยังมีคนชื่นชมศรัทธาอยู่ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งปัจจัยภายนอกหรือภายใน แต่ก็ยังสามารถเติบโตมาได้จนถึงปัจจุบันนี้
ส่วนการรับมือกับปัญหา Generation Gap ซึ่งบุญรอดเองก็ไม่ต่างจากหลาย ๆ องค์กรที่มีปัญหาในเรื่องเหล่านี้อยู่บ้างเช่นกัน โดย คุณภูริต มองว่า สิ่งสำคัญอันดับแรก คือทุกคนต้องเปิดใจและกล้าที่จะเผชิญกับความ เปลี่ยนแปลง เพื่อนำมาซึ่งความสามารถในการขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามมาได้
“องค์กรจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนต้องมาจากทีมที่ดี ซึ่งทุกคนในทีมต้องมีความร่วมมือร่วมใจกัน เพราะไม่มีใครคนใดคนหนึ่งมีความสามารถมากพอที่จะทำให้องค์กรดี หรือแข็งแรงได้เพียงคนเดียว แม้แต่ผมเองก็ตาม ดังนั้น ทุกคนจึงล้วนมีความสำคัญต่อองค์กรไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าจะอยู่องค์กรมาก่อน หรืออาจจะเพิ่งเข้ามา จะเป็นผู้บริหาร หรือพนักงานทั่วไป ทุกคนล้วนเป็นทีมเดียวกันทั้งหมด และต่างเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้บริษัทเติบโตตามบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้า ยิ่งต้องเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าใจคนอื่นภายในทีมได้ดีและขับเคลื่อนทีมไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
“แต่ละคนมีความเก่งและความชำนาญ ในแต่ละด้านที่แตกต่างกันออกไป
บางทักษะเขาอาจจะยังไม่เก่ง และอาจติดปัญหาอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ
“เราต้องช่วยเขาแก้ปัญหาตรงนี้ให้ได้ หรือทำให้มองเห็นภาพที่มันชัดเจนขึ้น
ผมเชื่อว่าคนทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง เราแค่ช่วยเพิ่มทักษะการทำงาน
สุดท้ายเขาก็จะเป็นพนักงานที่เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม”
มุมมองของ คุณภูริต การบริหารคนจำเป็นต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ เพราะแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน การจะทำให้ใครเชื่อใจเรา เราก็ต้องเข้าใจเขาก่อน อยากให้เขาฟังเรา เราต้องฟังเขาก่อน พยายามมองในมุมเขา หาเหตุผลในสิ่งที่เขาทำ เพื่อร่วมกันสร้าง ร่วมกันพัฒนา รวมทั้งร่วมฝ่าฟันปัญหาต่าง ๆ ไปด้วยกัน ซึ่งการจะเข้าใจปัญหาของพนักงาน ก็ต้องเข้าใจงานที่พนักงานทำและมองเห็นงานภาพกว้างให้ได้ทั้งหมด ซึ่งคุณภูริตเองก็มีประสบการณ์ในการทำงานในบริษัทมาแล้วเกือบทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานล้างถังเบียร์ หรือขับรถโฟล์คลิฟขนของในโรงงาน รวมทั้งเรียนรู้เรื่องกระบวนการผลิตเบียร์ เป็น Brew Master เพราะในครอบครัวจะต้องมี 1 คนของรุ่นที่ไปเรียน ซึ่งคุณภูริตเองก็เป็นตัวแทนของ generation 4 เพื่อสามารถเข้าใจทั้งคนทำงานและทุกกระบวนการในการทำงานได้อย่างแท้จริง
โดยเฉพาะการหาวิธีทำให้พนักงานสามารถทำงานได้ด้วย Passion มีความสุขในการทำงาน อยากตื่นขึ้นมาทำงานในแต่ละวัน มากกว่าแค่การทำไปตามหน้าที่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากคนที่มีความสุขและสนุกกับงาน ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคนที่ทำตามหน้าที่เพียงอย่างเดียว และถือเป็นหน้าที่ของผู้นำที่ดีเช่นกันที่ต้องมองให้ออกว่าลูกน้องแต่ละคนชอบอะไร หรือถนัดอะไร และเปิดโอกาสให้เขาได้ทำในสิ่งที่ชอบ ซึ่งจะทำให้เขาสามารถพัฒนาตัวเองและพร้อมจะเดินไปข้างหน้าร่วมกันองค์กรได้ในระยะยาว
ทำธุรกิจครอบครัว แบบมืออาชีพ
อีกหนึ่งในความเป็นบุญรอด คือการดูแลพนักงานทุกคนเหมือนเป็นครอบครัว แต่เป็นครอบครัวที่ทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพ จึงให้ความสำคัญต่อการเติมทักษะให้แก่พนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะเดิม (Upskill) และเพิ่มเติมทักษะใหม่ (Reskill) เพื่อให้ทันต่อการแข่งขันและความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี วิธีคิดและองค์ความรู้ใหม่ ๆ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงและมีสิ่งใหม่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา เพราะทักษะหรือความรู้ทุกอย่างที่มีอยู่ในวันนี้ สามารถล้าหลังหรืออาจจะกลายเป็นเรื่องเก่าได้ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสามารถผสมผสาน ต่อยอดจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของพนักงานที่ทำงานมานานกว่า กับมุมมองและรูปแบบการทำงานที่สอดคล้องกับโลกที่ไม่แน่นอนและผันผวนอยู่ตลอดเวลาของคนรุ่นใหม่ เมื่อนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันก็จะกลายเป็นจุดแข็งและช่วยสร้างแต้มต่อให้บริษัทสามารถเผชิญกับทุกวิกฤตที่ไม่สามารถคาดเดาซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้อย่างแข็งแกร่ง
รวมไปถึงการปลูกฝังทัศนคติ ปลูกฝัง Mindset ที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของสังคมควบคู่ไปด้วย เนื่องจากนโยบายการ “สร้างคน” เพื่อให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดี เป็นสิ่งที่บุญรอดฯ ยึดถือมาตลอด 89 ปี กลายเป็น DNA ของบุญรอดฯ ที่ไม่ได้เน้นแค่การสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่เป้าหมายสูงสุดที่สำคัญไม่แพ้กัน และเป็นเจตนารมณ์ที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งบริษัทก็คือ ความสามารถในการส่งต่อความสุขและสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนไปยังผู้คนและสังคมโดยรอบ เพื่อส่งต่อความสุขผ่านการให้ได้อย่างไม่สิ้นสุด
ถึงตรงนี้ ทำให้คิดย้อนกลับไปถึงคำพูดข้างต้นของคุณภูริต ภิรมย์ภักดี
ที่ต้องการให้ บุญรอดฯ เป็นองค์กรที่ยั่งยืน
ตรงนี้เองที่ทำให้การ “สร้างคน” ของบริษัท ไม่ใช่แค่พัฒนาทักษะการทำงานให้ยอดเยี่ยม และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้เท่านั้น แต่แนวคิดจากเมื่อ 89 ปีของ พระยาภิรมย์ภักดี ผู้ก่อตั้งบริษัท ที่ต้องการให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคม ก็ยังถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
แต่หากคนในประเทศไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต
ฉากสุดท้ายประเทศไทยก็อาจ “ไม่ยั่งยืน” ธุรกิจของตัวเองก็จะไม่มีลมหายใจด้วยเช่นกัน
ธุรกิจและผู้คนในสังคมจึงต้องเติบโตไปพร้อม ๆ กัน
และความเชื่อนี้เอง ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นแรกมาสู่รุ่นที่ 4
ที่มีคุณภูริต ภิรมย์ภักดี เป็นผู้ขับเคลื่อน นั่นเอง
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.