เนสท์เล่ ทุ่ม 10,000 ล้านบาท ลงทุนในไทยเพิ่มเติมปีนี้ ทั้งด้านการตลาด ขยายโรงงาน และความยั่งยืน

เนสท์เล่ ทุ่ม 10,000 ล้านบาท ลงทุนในไทยเพิ่มเติมปีนี้ ทั้งด้านการตลาด ขยายโรงงาน และความยั่งยืน

9 มี.ค. 2023
คุณวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสทเล่ อินโดไชน่า ได้ให้ข้อมูลว่า ในปีนี้ เป็นปีที่เนสท์เล่ ในประเทศไทย ครบรอบ 130 ปี
โดยเนสท์เล่ ในประเทศไทย มีจุดเริ่มต้นมาจากผลิตภัณฑ์นมข้นหวานตรา “แหม่มทูลหัว” หรือ MilkMaid ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ในช่วงปี 2436
และหลังจากนั้นมีการนำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของเนสท์เล่ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มก่อตั้งโรงงาน ภายในประเทศ ได้เป็นครั้งแรกในปี 2510 
จนกระทั่งในปัจจุบัน เนสท์เล่ มีโรงงานในประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 8 แห่ง เป็นฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มีพนักงานรวมทั้งสิ้นกว่า 4,000 คน 
รวมถึงยังทำให้เกิดการจ้างงานทางอ้อม อีกกว่า 10,000 ตำแหน่ง จากพันธมิตรทางธุรกิจของเนสท์เล่ 
โดยในช่วงปี 2018 - 2022 เนสท์เล่ มีการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 13,600 ล้านบาท ในการเปิดโรงงานแห่งใหม่ 2 แห่ง
ส่วนในปีนี้นั้น เนสท์เล่ มีแผนลงทุนในประเทศไทย เพิ่มเติมอีก 10,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุน ทั้งในด้านการตลาด การขยายโรงงาน และความยั่งยืน
โดยจะมีการลงทุนเพิ่มเติม ในโรงงานผลิตอาหารสัตว์ Purina ของเนสท์เล่ ทั้ง 2 แห่ง ซึ่งได้แก่ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ Purina ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ และที่จังหวัดระยอง
เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ในสัดส่วนราว 50% เพื่อผลิตอาหารสัตว์ สำหรับส่งออกไปขายยังต่างประเทศเป็นหลัก
ส่วนในปีนี้ กลยุทธ์ของเนสท์เล่ ในประเทศไทย จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนสำคัญ เพื่อตอบรับกับ “เทรนด์” ของผู้บริโภคในประเทศไทย ที่มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารอย่างสมดุล และการมีไลฟ์สไตล์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน
เนสท์เล่ พบว่า ในปัจจุบันผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เติมเต็มชีวิตในด้านสังคม และจิตใจ มีการรับประทานอาหารอย่างสมดุล และทำให้สุขภาพดีขึ้น 
ซึ่งผู้บริโภคปรับสมดุลการบริโภคโดยเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น แต่ยังคงรับประทานของหวาน หรือขนมที่สร้างความสุขให้กับชีวิต 
และที่สำคัญคือ ผู้บริโภคจะไม่ประนีประนอมเรื่องรสชาติ คือทุกอย่างต้อง “อร่อย” เท่านั้น
ขณะที่ผู้บริโภคที่มีอายุมากกว่า 45 ปี เริ่มตระหนักถึงความยั่งยืนมากขึ้น 
ส่วนคนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี  ก็ต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่มีแนวทางด้านความยั่งยืน และคาดหวังมากขึ้น ว่าแบรนด์จะทําหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และมีความโปร่งใส 
โดยผู้บริโภคจะใส่ใจว่า ผลิตภัณฑ์มีที่มาจากที่ใด และผลิตมีกระบวนการผลิตอย่างไร ทุกวันนี้ คนไทย 62% ระบุว่า ได้นําแนวการบริโภคอย่างยั่งยืนมาใช้ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์
โดยกลยุทธ์ในปีนี้ ของเนสท์เล่ ที่จะตอบรับกับทั้ง 2 เทรนด์ ซึ่งเป็นความต้องการของผู้บริโภค จะมีทั้งกลยุทธ์ในด้านผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์การขับเคลื่อนทางด้านความยั่งยืน และสิ่งแวดล้อม
ในปีนี้ สิ่งที่เราจะได้เห็นจากเนสท์เล่ คือการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีทั้งความอร่อย และดีต่อสุขภาพ พร้อมกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้มีรสชาติที่อร่อย และมีโภชนาการที่สูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม ผ่านเกณฑ์โภชนาการของบริษัทที่เข้มงวด
โดยจะมีทั้งผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ลดน้ำตาล ลดโซเดียม เสริมวิตามิน และแร่ธาตุ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืช เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับผู้บริโภค
ส่วนอีกกลยุทธ์หนึ่ง ก็คือ กลยุทธ์การขับเคลื่อนทางด้านความยั่งยืน และสิ่งแวดล้อม ที่เนสท์เล่ ตั้งเป้าบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 
เนสท์เล่ ระบุว่า ในขณะนี้ 95% ของบรรจุภัณฑ์เนสท์เล่ ในประเทศไทย ได้รับการออกแบบให้นำไปรีไซเคิลได้ มีการใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต และมีการใช้เมล็ดกาแฟที่มีการจัดหาอย่างยั่งยืน 100% 
นอกจากนี้เนสท์เล่ ในประเทศไทย ยังมีการจับมือกับ PUR Projet ในการปลูกต้นไม้ 800,000 ต้น ในไร่กาแฟ ที่จังหวัดชุมพร และระนอง โดยมีเป้าหมายในการลดแก๊สเรือนกระจก เทียบเท่ากับคาร์บอนไดออกไซด์ 200,000 ตัน
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.