NEO ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ FMCG ชั้นนำของไทยที่ใครๆ ก็ต้องมีติดบ้าน

NEO ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ FMCG ชั้นนำของไทยที่ใครๆ ก็ต้องมีติดบ้าน

16 พ.ย. 2023
ถ้าเอ่ยถึงแบรนด์อย่าง Fineline, D-nee, BeNice, Eversense, TROS, Vivite, Smart และ Tomi ต้องมีสักแบรนด์หนึ่งที่เรารู้จักหรือมีติดบ้านอยู่บ้าง แม้สินค้าเหล่านี้จะมีความต่างกันออกไปในเรื่องของการใช้งาน แต่สินค้าทุกแบรนด์เหล่านี้จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน คือ สินค้าอุปโภคในชีวิตประจำวันที่ใช้แล้วหมดไป หรือเรียกอีกอย่างว่า FMCG (Fast Moving Consumer Goods)
นอกจากจะเป็นสินค้า FMCG เหมือนกันแล้ว ทั้ง 8 แบรนด์ยังมีเจ้าของเดียวกันอีกด้วย ซึ่งก็คือ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO ผู้ผลิตสินค้า FMCG ชั้นนำของเมืองไทย
NEO ก่อตั้งขึ้นในปี 2532 ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท ด้วยความตั้งมั่นว่าจะผลิตสินค้าในชีวิตประจำวันที่เข้าใจความต้องการและความชื่นชอบของลูกค้า ก่อนจะส่งแบรนด์ของใช้ส่วนบุคคลของผู้หญิงอย่าง Eversense ออกจำหน่ายเป็นแบรนด์แรก ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนขึ้นเป็นอันดับ 1 ทันทีที่วางจำหน่าย
ความสำเร็จของ NEO ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เพราะบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เช่น
ปี 2533 ออกผลิตภัณฑ์โคโลญ โรลออน และโฟมล้างหน้า ภายใต้แบรนด์ TROS โดยผลิตภัณฑ์ทรอสโคโลญถือเป็นโคโลญสำหรับผู้ชายแบรนด์แรกของไทย
ปี 2540 รุกตลาดสินค้าสำหรับเด็กด้วยการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซักผ้าสำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ D-nee
ปี 2545 เข้าสู่ตลาดครีมอาบน้ำด้วยแบรนด์ BeNice ครีมอาบน้ำช่วยยกกระชับผิวที่มีส่วนผสมจากผลไม้
ปี 2555 วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์รีดผ้าสำหรับเตารีดไอน้ำภายใต้แบรนด์ Fineline
ซึ่งกลยุทธ์สำคัญของการสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จของ NEO มีทั้งหมด 3 ข้อ ได้แก่
1. เพิ่มความนิยมของผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด
NEO มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคทุกช่วงวัย ควบคู่กับปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้นและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ด้วยทีมฝ่ายวิจัยและพัฒนาและฝ่ายการตลาดที่มีศักยภาพ เช่น เพิ่มคุณสมบัติฆ่าเชื้อไวรัสของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในช่วงสถานการณ์ COVID-19 คิดค้นผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบสำหรับเตารีดไอน้ำ และผลักดันผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอย่างต่อเนื่อง
2. เพิ่มประสิทธิภาพด้าน Supply Chain
NEO พัฒนากระบวนการผลิตในทุกขั้นตอนให้มีประสิทธิภาพ มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ เพื่อควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายของบริษัท และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น สรรหาวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ชนิดใหม่ๆ ที่มีคุณสมบัติดีกว่าหรือเทียบเท่าของเดิมด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ปรับปรุงและเพิ่มสายการผลิต ควบคุมการผลิตผ่านระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องจักรอัตโนมัติ รวมถึงนำระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automatic Storage and Retrieval System: ASRS) มาใช้ เพื่อลดปัญหาการหมุนเวียนสินค้าสำเร็จรูปที่ไม่มีประสิทธิภาพ
3. พัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน
บริษัทนำเทคโนโลยีมาใช้บริหารจัดการการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน (Sustainability Brand) ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลาสติก และนำบรรจุภัณฑ์พลาสติกกลับมาผ่านกระบวนการรีไซเคิล อีกทั้งพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติทั้งหมด หรือสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ผนวกกับคุณภาพของสินค้าที่ดี มีราคาเหมาะสม รวมถึงตรงกับความต้องการของผู้บริโภคครอบคลุมทุกเพศและวัย ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ NEO เกือบทุกแบรนด์ได้รับความนิยมและครองใจผู้บริโภคในทันทีที่วางจำหน่าย NEO ยังคงหยัดยืนอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางแบรนด์คู่แข่งอีกมากมาย อีกทั้งยังมีการขยายสู่ตลาดต่างประเทศถึง 16 ประเทศ โดยมีประเทศส่งออกหลักได้แก่กลุ่ม CLMV (Cambodia, Laos, Myanmar, Vietnam) ซึ่งบริษัทสามารถทำรายได้รวมจากการขายทั้งในและต่างประเทศได้ดังนี้
ปี 2563 = 6,767.54 ล้านบาท
ปี 2564 = 7,445.23 ล้านบาท
ปี 2565 = 8,300.69 ล้านบาท
งวด 6 เดือนสิ้นสุดเดือนมิถุนายนปี 2566 = 4,572.70 ล้านบาท
และก้าวต่อไปของ NEO คือ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งหน้าเติบโตเป็นผู้นำตลาด FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น อันเป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจที่ NEO ยึดเป็นหลักปฏิบัติมาอย่างยาวนานนั่นเอง
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.