
เรียนการตลาด ผ่านเคสจริง “สงครามสุกี้” MK vs สุกี้ตี๋น้อย ใช้กลยุทธ์อะไรบ้าง ?
24 ก.ย. 2025
8 มิถุนายน 2568 คือ วันที่ MK ประกาศเปิดตัวโปรโมชันบุฟเฟต์ คุ้มคุ้ม อิ่มไม่อั้น หัวละ 299 บาท ให้ลูกค้าสั่งอาหารได้ไม่อั้น 19 เมนู
โดยเรตราคาของโปรโมชันนี้จะพอ ๆ กับ “สุกี้ตี๋น้อย” ที่ปกติแล้วจะขายบุฟเฟต์ในราคาหัวละ 276 บาท (รวมค่าเครื่องดื่มและ Vat 7%)
ทำให้หลังจากนั้นเพียงวันเดียว หรือ 9 มิถุนายน 2568 สุกี้ตี๋น้อยก็ประกาศว่า จะลดราคาบุฟเฟต์เหลือหัวละ 199 บาททันที
หลังจากนั้น ตลาดสุกี้ชาบูในประเทศไทยก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..
เพราะแต่ละเจ้าต่างก็ทำโปรโมชันลดแลกแจกแถม หรือแม้แต่เปิดแบรนด์ใหม่มาแข่งกันจนถึงวันนี้
เพราะแต่ละเจ้าต่างก็ทำโปรโมชันลดแลกแจกแถม หรือแม้แต่เปิดแบรนด์ใหม่มาแข่งกันจนถึงวันนี้
รู้ไหมว่า ระหว่างทางที่สุกี้ 2 เจ้านี้แข่งกัน เราจะเห็นกลยุทธ์ทางการตลาดเยอะมาก ถือเป็นสีสันบนโลกธุรกิจในรอบหลายปีเลย
แล้วกลยุทธ์ที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง ? MarketThink รวบรวมมาให้แล้ว
1. Price War
แปลตรงตัวคือ “สงครามราคา” เป็นกลยุทธ์ลดราคาสินค้าหรือบริการ โดยมีจุดประสงค์เพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งให้ได้มากที่สุด
สงครามราคาจะเริ่มขึ้น เมื่อบริษัทหนึ่งเริ่มต้นลดราคา ทำให้คู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันต้องปรับลดราคาลงมาบ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เสียลูกค้าไป
โดยข้อดีของสงครามราคาคือ จะทำให้ภาพรวมของตลาดดูคึกคักขึ้น เพราะลูกค้าจะได้เข้าถึงสินค้าและบริการได้ในราคาที่ถูกลง
คล้ายกับกรณีที่ MK เริ่มทำโปรโมชันบุฟเฟต์ คุ้มคุ้ม อิ่มไม่อั้น ราคา 299 บาท
ซึ่งพอ ๆ กับราคาขาย 276 บาท ของสุกี้ตี๋น้อย
ซึ่งพอ ๆ กับราคาขาย 276 บาท ของสุกี้ตี๋น้อย
ก่อนสุกี้ตี๋น้อย จะประกาศลดราคาบุฟเฟต์เหลือ 199 บาท และเริ่มแจกเครื่องดื่ม Refill มูลค่า 39 บาทให้ลูกค้าฟรี ๆ ทำให้ราคา Net แล้วของสุกี้ตี๋น้อยเหลืออยู่ที่ 213 บาท
หลังจากนั้น ตลาดสุกี้ก็เลยฮิตมาก ๆ ในช่วงเวลาที่ทั้ง 2 แบรนด์ทำโปรโมชันแข่งกัน
อย่างไรก็ดี ข้อเสียของการทำสงครามราคา คือ จะทำให้ผู้เล่นในตลาดมีกำไรลดลง จากการที่แต่ละเจ้าต้องทำโปรโมชันลดราคามาแข่งกัน
ซึ่งถ้าสงครามราคารุนแรงและกินเวลานาน ก็อาจทำให้ผู้เล่นรายย่อยลดราคาลงไปสู้ไม่ไหว และต้องปิดกิจการไปเลยก็มี
2. Fighter Brand
ปัญหาอย่างหนึ่งของแบรนด์ที่วาง Positioning เป็นพรีเมียมคือ “จะลดราคาเยอะไม่ได้” เพราะอาจทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์เสียหาย
แบรนด์เหล่านี้เลยชอบใช้ท่า Fighter Brand ที่เป็นการแตกแบรนด์ใหม่ แต่ขายสินค้าคล้าย ๆ เดิมมาป้องกันไม่ให้คู่แข่งที่ใช้กลยุทธ์ด้านราคาเข้ามาแย่งลูกค้า
กรณีนี้ MK ที่มีภาพจำเป็นแบรนด์พรีเมียม ได้สร้างแบรนด์ใหม่ชื่อ “BONUS SUKI” ซึ่งเป็นบุฟเฟต์สุกี้ที่มีเรตราคาใกล้เคียงกับสุกี้ตี๋น้อย
ทำให้ในภาพรวมแบรนด์ MK ยังรักษาความพรีเมียมได้อยู่ และก็ยังมีแบรนด์ตัวแทนไปสู้ในเรื่องของราคาได้นั่นเอง
3. Brand Extension
ปกติแบรนด์ที่มีฐานลูกค้าแน่นอยู่แล้ว ถ้าอยากขยายธุรกิจเข้าไปจับลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ จะชอบใช้กลยุทธ์ Brand Extension มาขยายธุรกิจ “โดยใช้ชื่อแบรนด์เดิม”
การทำแบบนี้มีข้อดีคือ ไม่ต้องเสียเวลาปั้นแบรนด์ใหม่นาน เพราะสามารถเอาชื่อแบรนด์เก่าที่มีฐานลูกค้าแน่นอยู่แล้ว ไปใช้แข่งในตลาดใหม่ได้เลย
ฝั่งที่ใช้กลยุทธ์นี้แบบชัด ๆ ก็คือ สุกี้ตี๋น้อยที่เปิดตัวแบรนด์ใหม่ชื่อ “Teenoi Gold (ตี๋น้อย โกลด์)”
ที่เป็นบุฟเฟต์แบบพรีเมียม มีเมนูไฮไลต์คือ ติ่มซำ, เป็ดย่าง, หมูแดงฮ่องกง และวัตถุดิบพรีเมียมอื่น ๆ ขายราคาเริ่มต้นหัวละ 599 บาท (ไม่รวมเครื่องดื่ม และ Vat 7%)
ทำให้ในภาพรวมของสุกี้ตี๋น้อย จะมีโอกาสเก็บส่วนแบ่งการตลาดจากลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมาได้ด้วย
4. Up-Selling
เป็นเทคนิค “เพิ่มมูลค่าเฉลี่ยต่อบิล” ของลูกค้าให้มากขึ้น ด้วยการเสนอขายสินค้าหรือบริการเสริมจากตัวสินค้าหลัก
คนที่ใช้กลยุทธ์นี้ชัด ๆ จะเป็นฝั่ง MK ที่เสนอตัวเลือกให้ลูกค้าที่ทานโปรโมชันบุฟเฟต์ 299 บาท สามารถจ่ายเงินเพิ่ม 59 บาท แลกกับการทานเมนู “กุ้งสด” ได้ไม่อั้น
ซึ่งจะช่วยให้ MK มีโอกาสสร้างรายได้ต่อหัว จากกลุ่มลูกค้าที่มาทานโปรโมชันดังกล่าวได้เยอะขึ้น
5. Bundle Promotion
เป็นกลยุทธ์ที่จะเน้นขายของแบบ “มัดรวม” เหมือนกับการขาย “ยาสระผมแพ็กคู่” ในร้านค้าปลีก เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าซื้อแล้วคุ้มค่า โดยมีเป้าหมายคือ ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อบิลสูงขึ้น
ในเคสนี้จะเป็นฝั่ง MK ที่เสนอว่าลูกค้าที่มาทานโปรโมชัน คุ้มคุ้ม อิ่มไม่อั้น ครบ 4 คน จะสามารถสั่งกุ้งแม่น้ำได้ไม่อั้นแบบไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
ซึ่งเหมือนเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าต้องพยายามชวนเพื่อนมาทานโปรโมชันดังกล่าวให้ครบ 4 คน ทำให้ MK มีโอกาสสร้างรายได้ “ต่อโต๊ะ” เพิ่มมากขึ้น
6. Localized Marketing
เป็นการปรับปรุงสินค้า บริการ หรือโปรโมชันให้เหมาะสมกับลูกค้าในแต่ละพื้นที่
ฝั่งที่ใช้กลยุทธ์นี้ให้เห็นได้ชัด ๆ เลยก็คือ MK ที่เลือกสาขาในการทำโปรโมชันไม่เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น โปรโมชัน คุ้มคุ้ม อิ่มไม่อั้น ให้ทานบุฟเฟต์ หัวละ 299 บาท จะถูกจัดอยู่ในร้าน MK ที่อยู่ใน Big C หรือ Lotus's ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่เน้นลูกค้ากลุ่ม “ครอบครัว” และมองหาความคุ้มค่า
ส่วนสาขาตามหัวเมือง หรือในบางทำเลที่ MK อาจจะมองว่า มี Traffic เป็นลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ ก็จะไม่ได้เข้าร่วมโปรโมชันนี้
7. Relationship Marketing
เป็นกลยุทธ์เกี่ยวกับการ “รักษาลูกค้าเก่า” ให้อยู่กับแบรนด์นานขึ้น
ในมุมการตลาด กลยุทธ์แนวนี้จะมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้อัตราการซื้อซ้ำ และมูลค่าต่อลูกค้า (Customer Lifetime Value) สูงขึ้น
คนที่ทำเรื่องนี้ชัด ๆ คือ ฝั่งสุกี้ตี๋น้อยที่เพิ่งทำ Loyalty Program คือบัตรสมาชิก “Tn Family” ที่จะมีการมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้กับลูกค้าที่ทานสุกี้ตี๋น้อย “บ่อยที่สุด”
ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระดับ และยิ่งทานบ่อย สิทธิพิเศษจะยิ่งดีขึ้น
แถมในบางสาขา ยังมีการสร้างเลานจ์ให้ลูกค้าที่ถือบัตรนี้สามารถเข้ามานั่งเล่น พร้อมมีอาหารให้บริการระหว่างรอคิวได้ด้วย
ซึ่งจะเหมือนเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้ามาทานสุกี้ตี๋น้อยบ่อยขึ้น เพื่ออัปเกรดสิทธิพิเศษนั่นเอง..