
โมเดล Run Club คอมมิวนิตีฟรี กำลังมาแรง โอกาสใหม่ ที่แบรนด์ใช้เป็น “พื้นที่โฆษณา” เข้าถึงลูกค้าถูกกลุ่ม
30 ต.ค. 2025
คนเล่นโซเชียลมีเดียตอนนี้น่าจะเห็นกระแส “Run Club” หรือกลุ่มคนที่รวมตัวกัน มาวิ่งตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น สวนเบญจกิติ, ทรงวาด หรือย่านฮิตอื่น ๆ ผ่านตากันมาบ้าง
เพราะกระแสนี้ กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมถึงที่ไทยด้วย
อธิบาย โมเดลของ Run Club ง่าย ๆ คือ คอมมิวนิตีที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไป ที่อาจจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มาวิ่งด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ ตั้งแต่หลักสิบถึงหลักร้อยคน แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
โดย Run Club ที่เริ่มมีชื่อเสียง จะมีแบรนด์ต่าง ๆ มาแจก อาหาร, อุปกรณ์กีฬา, เครื่องดื่ม และอีกหลาย ๆ อย่างให้คนที่เข้าร่วมแบบฟรี ๆ ไปเลย แทบทุกสัปดาห์
แล้วทำไม Run Club ถึงสามารถจัดให้คนมาเข้าร่วมฟรี ๆ แทบทุกสัปดาห์ ?
และทำไมแบรนด์ดัง ๆ ถึงเริ่มหันมาทำการตลาดผ่านคอมมิวนิตีตรงนี้ ?
และทำไมแบรนด์ดัง ๆ ถึงเริ่มหันมาทำการตลาดผ่านคอมมิวนิตีตรงนี้ ?
MarketThink ชวนทุกคนมาวิเคราะห์เรื่องนี้ไปพร้อม ๆ กัน
1. ถ้า Run Club เป็นธุรกิจจะมีโมเดลแบบไหน ?
ถ้าลองวิเคราะห์จากการที่ Run Club เป็นคอมมิวนิตีให้คนทั่วไปสามารถมาเข้าร่วมได้ฟรี โดยไม่ต้องจ่ายอะไรเลย
หมายความว่า สิ่งที่น่าจะสร้างรายได้ให้กับ Run Club มากที่สุดน่าจะมาจาก “สปอนเซอร์” ของแบรนด์ต่าง ๆ ที่ต้องการมาโปรโมตแบรนด์กับคนในคอมมิวนิตี
ทำให้ Run Club จะแข่งกันสร้างความน่าสนใจ ดึงคนให้มารวมกันได้เยอะ ๆ เพื่อให้ฝั่งแบรนด์มีโอกาสเข้ามาสนับสนุนมากขึ้น
คล้ายกับโมเดลของอินฟลูเอนเซอร์ ที่จะวัดกันจาก “ฐานผู้ติดตาม” ที่ยิ่งเยอะ ฝั่งแบรนด์จะยิ่งสนใจ
อย่างไรก็ดี ความน่าสนใจจริง ๆ ของโมเดล Run Club ก็คือเรื่องของ “ต้นทุน” ในการเริ่มธุรกิจที่ต่ำ
เห็นได้จากที่ Run Club ส่วนใหญ่จะชอบจัดกิจกรรมตาม สวนสาธารณะ หรือสถานที่สาธารณะที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถมาทำกิจกรรมได้ฟรี ๆ อยู่แล้ว
ทำให้ต้นทุนด้านสถานที่ของ Run Club น่าจะน้อยมาก อาจจะมีค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ธง และเสื้อผ้าที่มีโลโก Run Club ติดเอาไว้ เพื่อโปรโมตให้คนสนใจ Run Club เท่านั้น
ด้วยโครงสร้างแบบนี้ จึงทำให้ Run Club จะสามารถจัดกิจกรรมฟรี ๆ รวมคนเป็นร้อย ๆ มารวมกันได้แทบทุกสัปดาห์ แค่โพสต์วัน เวลา และสถานที่ในการวิ่งให้ดูน่าสนใจ ก็ดึงคนมารวมกันได้
ส่วนของที่เอามาแจกฟรี ส่วนใหญ่ก็จะมาจากสปอนเซอร์ที่แจก “สินค้าทดลอง” ให้คนในคอมมิวนิตีฟรี เพื่อโปรโมตแบรนด์นั่นเอง
2. Run Club คือ “พื้นที่โฆษณา” ที่แบรนด์สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้เลย
อย่างที่บอกว่า Run Club จะแข่งกันสร้างความสนใจ เพื่อดึงคนให้ได้เยอะ ๆ
และหนึ่งในวิธีดึงคนก็คือการสร้าง “ภาพลักษณ์” ให้แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้หลายแบบ เช่น
- บาง Run Club ทำภาพลักษณ์ให้เข้าถึงง่าย เน้นสบาย ๆ ผ่านการกำหนดความเร็ว และระยะทางในการวิ่งไม่ให้หนักเกินไป รวมไปถึงแนวทางการโปรโมตที่โชว์ความสบาย ๆ
เพื่อให้สามารถดึงดูดคนที่รักสุขภาพทั่ว ๆ ไป และนักวิ่งมือใหม่มาเข้าร่วมได้ง่าย
- บาง Run Club เน้นจับกลุ่มนักวิ่งจริงจัง มีการกำหนดความเร็วขั้นต่ำในการวิ่งไว้ที่ระดับปานกลาง-สูง ซึ่งก็อาจจะทำให้คนที่วิ่งจริงจัง หรือคนที่อยากท้าทายตัวเอง มาเข้าร่วมได้ง่ายกว่า
จากการสร้างภาพลักษณ์แบบนี้ ก็จะทำให้เห็นกันชัด ๆ เลยว่า แต่ละ Run Club มีกลุ่มเป้าหมายเป็นแบบไหน ซึ่งเรื่องนี้ก็มีประโยชน์มาก ๆ ต่อฝั่งของแบรนด์ที่เข้ามาเป็นสปอนเซอร์เช่นกัน
เพราะปกติแล้ว ก่อนนักการตลาดจะทำโฆษณา จะต้องมีการทำ Segmentation หรือการเลือกกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้วว่า แคมเปญหรือสินค้าแต่ละตัว ทำมาขายใคร และต้องการสื่อสารกับคนกลุ่มไหน
จากการสร้างภาพลักษณ์แบบนี้ ก็จะทำให้เห็นกันชัด ๆ เลยว่า แต่ละ Run Club มีกลุ่มเป้าหมายเป็นแบบไหน ซึ่งเรื่องนี้ก็มีประโยชน์มาก ๆ ต่อฝั่งของแบรนด์ที่เข้ามาเป็นสปอนเซอร์เช่นกัน
เพราะปกติแล้ว ก่อนนักการตลาดจะทำโฆษณา จะต้องมีการทำ Segmentation หรือการเลือกกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้วว่า แคมเปญหรือสินค้าแต่ละตัว ทำมาขายใคร และต้องการสื่อสารกับคนกลุ่มไหน
ทำให้การโปรโมตแบรนด์ผ่าน Run Club กลายเป็นตัวเลือกให้แบรนด์สามารถเลือกสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่ตัวเองต้องการได้ตรงจุดมาก ๆ
เช่น แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาสำหรับ “คนที่เพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกาย” ก็อาจจะเลือกโปรโมตผ่าน Run Club ที่สามารถรวมคนประเภทเดียวกันนี้ได้เยอะ
3. มีโอกาสที่แบรนด์จะได้ User-Generated Content สูง
จากข้อ 2 หลายคนอาจจะสงสัยว่า ในเมื่อการซื้อโฆษณา เราก็สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ แล้วทำไมต้องมาโปรโมตผ่าน Run Club ที่มีคนรวมกันแค่หลักร้อย
คำตอบคือ การโปรโมตด้วยวิธีนี้จะมีโอกาสได้ “User-Generated Content (UGC)” สูง
ซึ่ง UGC คือคอนเทนต์ที่คนทั่ว ๆ ไปถ่ายสินค้าหรือบริการของแบรนด์ต่าง ๆ มาลงบนโซเชียลมีเดียส่วนตัว ในแบบที่แบรนด์ไม่ต้องจ้าง วิธีการแบบนี้มีข้อดีคือ ดูเรียล และน่าเชื่อถือ
เพราะโดยทั่วไปแล้ว พฤติกรรมของคนมีแนวโน้มที่จะแชร์กิจกรรมของตัวเองลงบน Instagram Stories, TikTok หรือ Facebook อยู่แล้ว
หมายความว่า มีโอกาสที่ “โลโก” หรือ “สินค้า” ของแบรนด์ที่โปรโมตผ่าน Run Club จะถูกคนที่มาเข้าร่วมถ่ายไปลงโซเชียลมีเดียส่วนตัวแบบฟรี ๆ
มาถึงตรงนี้ หลาย ๆ คนน่าจะเห็นภาพของกระแส Run Club แล้วว่า ทำไมแบรนด์ดัง ๆ ถึงสนใจมาทำการตลาดกับคอมมิวนิตีตรงนี้
นอกจาก Run Club แล้ว ในช่วงหลัง ๆ ก็มีคนใช้ท่าในการสร้างคอมมิวนิตีให้คนมารวมกันคล้ายแบบนี้ แต่เปลี่ยนชนิดกีฬาหรือกิจกรรมที่ทำด้วยกันเป็นอย่างอื่น
เช่น “พิลาทิส” ที่ก็ดึงคนได้เยอะ และมีแบรนด์ใหญ่ลงมาทำการตลาดด้วยเยอะ ไม่แพ้ Run Club เลย
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่ ? ประเทศไทยมี Run Club ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอยู่ด้วย ชื่อว่า “Sabai Run Club Bangkok” ซึ่งตอนนี้มีผู้ติดตามบน Instagram มากกว่า 50,000 คน