สรุปความสำคัญของ “Wellness Economy 5.0” ในมุมผู้บริหาร BDMS Wellness พร้อมไอเดียในการปรับใช้กับทุกธุรกิจ สำหรับผู้ประกอบการ

สรุปความสำคัญของ “Wellness Economy 5.0” ในมุมผู้บริหาร BDMS Wellness พร้อมไอเดียในการปรับใช้กับทุกธุรกิจ สำหรับผู้ประกอบการ

4 พ.ย. 2025
ล่าสุด “BDMS Wellness Clinic” จัด BDMS Annual Meeting 2025
เป็นเวทีรวมตัวของผู้นำจากวงการ Wellness & Healthcare ทั้งในระดับประเทศไทยและระดับโลก ซึ่งในเวทีนี้เป็นเวทีที่เจาะลึกถึง อินไซต์ เทรนด์ และโอกาสใหม่ของอุตสาหกรรม Wellness
หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องของ Wellness Economy 5.0
ซึ่ง MarketThink ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ที่เจาะเรื่อง Wellness Economy 5.0 โดยเฉพาะ
แล้วอินไซต์ที่น่าสนใจของ Wellness 5.0 มีอะไรบ้าง ? รวมถึงประเทศไทย อยู่ตรงไหนในเทรนด์นี้ ?
- นพ.ตนุพล อธิบาย Wellness Economy 5.0 ให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า คือโลกของเศรษฐกิจใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วย สุขภาวะของผู้คน ไม่ใช่แค่ตัวเลข
ถ้าอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นคือ การปฏิวัติระบบสุขภาพจากการรักษาโรคแบบเดิม สู่การสร้างสุขภาวะเชิงรุกด้วยวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เป็นการบูรณาการศาสตร์การแพทย์เชิงป้องกัน (Preventive Medicine), เวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging), และวิถีชีวิตอย่างมีคุณภาพ (Lifestyle Medicine) เข้าด้วยกัน
ผสมผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัยและอัจฉริยะ เช่น AI, IoT, Big Data กับภูมิปัญญาไทยที่สั่งสมมากว่า 700 ปี เพื่อสร้างระบบดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละบุคคล
- แล้ว Wellness Economy 5.0 สำคัญต่อประเทศไทยอย่างไร ?
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในสามอุตสาหกรรมระดับโลกที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยก่อนการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 มูลค่าการท่องเที่ยวคิดเป็น 10% ของ GDP โลก
การท่องเที่ยวจึงถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงหลักสำหรับหลายประเทศและหลายภูมิภาค ที่ทำให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และรายได้มหาศาล
ซึ่งหนึ่งในอุตสาหกรรมการเดินทางท่องเที่ยวที่เติบโตสูงตามคาดการณ์ของสถาบันโกลบอลเวลเนส (Global Wellness Institute : GWI) คือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism)
โดยการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ตั้งแต่ GWI มีการเก็บข้อมูลในปี พ.ศ. 2555 การใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism expenditures) เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7.3% ต่อปี จนสูงสุดในปี พ.ศ. 2562 ที่ 7.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเติบโตเร็วกว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวมถึง 50% ก่อนที่การท่องเที่ยวจะต้องหยุดชะงักลงจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี พ.ศ. 2563
เมื่อมีการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทาง มูลค่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้ฟื้นตัวมาเติบโตเฉลี่ย 36.2 % ต่อปี โดยมีมูลค่า 3.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2563 และ 8.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2566
และคาดว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ถึงปี พ.ศ. 2571 ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพไม่เพียงแต่จะฟื้นฟูมาดังเดิมแต่ยังเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม โดยมีการใช้จ่ายเติบโตเฉลี่ย 10.2% ต่อปี และมีมูลค่าสูงถึง 1.35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2571
เห็นได้ว่าตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการระบาดของเชื้อไวรัสที่ผ่านมายังเหมือนเป็นตัวเร่งให้ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เมื่อคนมีรายได้จะมีตัวเลือกในการดำรงชีวิตสู่สังคมคนสุขภาพดีรวมถึงปัญหาสุขภาพจิต (Mental Health) ที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่งดงาม สภาพภูมิอากาศ และวัฒนธรรมที่โดดเด่น อาหารอร่อย รวมถึงการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ของภูมิภาคเอเชีย ทำให้ผู้คนต่างหลั่งไหลเดินทางมายังประเทศไทย
จากรายงานของ GWI ในปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยติดอันดับ 9 ในเศรษฐกิจเวลเนสของเอเชียแปซิฟิก และติดอันดับ 24 ของโลก
และในปีเดียวกันนี้ ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 15 ของจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในโลก มีมูลค่าตลาดกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ มากกว่า 4.1 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีปัจจัยดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกมากมาย
- คำถามต่อมาก็คือ แล้วผู้ประกอบการไทย คนทำธุรกิจ ต้องเตรียมรับมือกับโอกาสหรือเทรนด์ Wellness นี้อย่างไร ?
1. ตัวอย่างในอุตสาหกรรมโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ เฮลท์แคร์ ที่พักต่าง ๆ
- ร่วมมือกับสถานพยาบาล คลินิก โรงพยาบาล ออกแบบบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถมาพักผ่อน พร้อมกับการตรวจร่างกายประจำปี การดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทีมงานมืออาชีพ
- ปรับสถานที่ให้รองรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อป้องกันการหกล้ม เช่น ในห้องน้ำ ในห้องอาบน้ำ ทางขึ้นลงบันได เพิ่มทางลาดเอียงสำหรับรถเข็นและไม้เท้า เพื่อรองรับผู้สูงอายุ
- อาจเพิ่มเติมอุปกรณ์ออกกำลังกายภายในบริเวณที่พัก เช่น ดัมเบลล์ ลูกตุ้ม หรือจักรยาน
- มีการฝึกพนักงานในการช่วยชีวิต ปั๊มหัวใจในกรณีฉุกเฉิน ติดตั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจ AED
2. ตัวอย่างในอุตสาหกรรมร้านอาหารต่าง ๆ
- เลือกใช้วัตถุดิบที่มาจากท้องถิ่น เป็นของดีมีคุณภาพ ดีต่อสุขภาพ จำพวกพืชผักสวนครัว ธัญพืช ผลไม้ เกษตรอินทรีย์ ที่มาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
- อาหารกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ปราศจากยาฆ่าแมลงและสารเคมี สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้มาก
- ทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยลดการใช้น้ำตาล หรือ เกลือที่มากเกินไป เน้นธัญพืช ผัก ผลไม้ บำรุงสุขภาพแทน ของทอด ของมัน อาหารแปรรูป เนื้อสัตว์แปรรูป น้ำตาล High Fructose Corn Syrup (HFCS) ซึ่งเป็นของอันตรายสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ
3. ตัวอย่างในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
- กิจกรรมท่องเที่ยวที่เน้นการออกกำลังกาย เช่น เดินป่า ปีนเขา ดำน้ำ โยคะ ฝึก กายบริหารหรือผ่อนคลายต่าง ๆ โดยอาจส่งเสริมการมีแพทย์เพื่อเจาะเลือดในวันแรกของการมาเที่ยว แล้วต่อด้วยการทำกิจกรรมออกกำลังกายในวันถัดไปของการเข้าพัก
- การให้บริการดูแลสุขภาพจิต เช่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม โยคะ ไทเก๊ก โดยผู้ประกอบการสามารถเพิ่มมูลค่าได้ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ
- บริการสปาเพื่อสุขภาพ เพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มบริการนวดเพื่อสุขภาพ เช่น การนวดไทย การนวดสากล การแช่ด้วยน้ำพุร้อน อ่างน้ำวน การอบสมุนไพร หรือการดูแลผิวพรรณต่าง ๆ
ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการสามารถต่อยอดแนวคิด Wellness Economy 5.0 ได้ในหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต และประสบการณ์เชิงบูรณาการที่ตอบโจทย์เทรนด์ยุคใหม่ของผู้บริโภค
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.