BDMS Wellness Clinic เดินหน้าขยายเครือข่ายสุขภาพสู่ตะวันออกกลาง เสริมพลังความร่วมมือระดับสากล ปักหมุดไทยสู่ Wellness Hub ระดับโลก ที่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน

BDMS Wellness Clinic เดินหน้าขยายเครือข่ายสุขภาพสู่ตะวันออกกลาง เสริมพลังความร่วมมือระดับสากล ปักหมุดไทยสู่ Wellness Hub ระดับโลก ที่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน

11 ธ.ค. 2025
บีดีเอ็มเอสเวลเนสคลินิก (BDMS Wellness Clinic) ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกัน ในเครือบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) นำโดยนายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวช การจำกัด (มหาชน) ได้รับเกียรติจาก นางสาววารุณี ปั้นกระจ่าง เอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน เพื่อหารือแนวทางสานต่อความร่วมมือด้านสุขภาพระหว่างไทยและโอมาน
ภายใต้แนวคิด “Health Vision 2050” ณสถานเอกอัครราชทูตณกรุงมัสกัตรัฐสุลต่านโอมานซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ระยะยาวด้านระบบสุขภาพของโอมานในมิติที่สำคัญทั้งด้านการเงินสุขภาพการพัฒนาทรัพยากรบุคคลการให้บริการทางการแพทย์เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจและวิสัยทัศน์ Wellness Hub Thailand ของนายแพทย์ตนุพลในการผลักดัน Wellness Tourism ของไทยสู่ระดับสากลพร้อมผลักดันประเทศไทยให้เป็น Wellness Hub ระดับโลก
Wealthy but Unhealthy: ความร่ำรวยอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์? เมื่อโอมานกำลังเผชิญความท้าทายจาก NCDs ในสังคมผู้สูงวัย
โอมานนับเป็นหนึ่งในตลาดศักยภาพสูงของภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น ทั้งในด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสุขภาพ สะท้อนจากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ณ เดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งระบุว่า กลุ่มประเทศความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) มี GDP รวมสูงถึง 2.16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 44.51% ของ GDP ทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง และ 1.89% ของ GDP โลก พร้อมจำนวนประชากร 62.47 ล้านคน และมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ในระดับสูงติดอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค ด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง รวมถึงความต้องการบริการสุขภาพคุณภาพระดับพรีเมียมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แม้โอมานจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่งคั่งและมีรายได้ต่อบุคคลสูง แต่ประชากรยังคงเผชิญความท้าทายด้านสุขภาพ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งถือเป็นปัญหาหลัก โดยข้อมูลจาก World Health Organization หรือ WHO เผยว่า กว่า 80% ของผู้เสียชีวิตในประเทศโอมาน เกิดจากโรค NCDs คิดเป็นประมาณ 13,000 รายต่อปี หรือ เฉลี่ย 1.5 รายต่อชั่วโมง โดยโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคทางเดินหายใจเรื้อรังตามลำดับ
โรคอ้วนในโอมาน: ประเด็นสุขภาพสาธารณะที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิตสมัยใหม่
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชากรโอมานกำลังเผชิญความท้าทายด้านสุขภาพที่ซับซ้อนขึ้นจากภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) สะท้อนภาพที่ชัดเจนถึงบทบาทของ “ภาวะอ้วน” ซึ่งไม่ใช่เพียงเป็นประเด็นด้านรูปลักษณ์ภายนอก หากแต่เป็นจุดตั้งต้นสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลากหลายชนิดดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดย ณ ปัจจุบัน พบว่าชาวโอมานกว่า 66.9% หรือราว 3,328,275 คน อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างระบบสุขภาพเชิงป้องกันเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสร้างอนาคตสุขภาพที่มั่นคงให้กับประเทศ
นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็ม เอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจัยหลักที่ทำให้ภาวะอ้วนเพิ่มสูงขึ้นในหมู่ประชาชนชาวโอมานมาจากการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตในยุคปัจจุบันอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการบริโภคที่เน้นความสะดวกและรวดเร็วการรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ลดลง
จากการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายในชีวิตประจำวันตลอดจนชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานซึ่งทำให้เวลาสำหรับการดูแลตนเองลดน้อยลงปัจจัยเหล่านี้ได้ค่อยๆหล่อหลอมจนเกิดภาวะน้ำหนักเกินซึ่งกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องการเกิดโรคอ้วนจึงเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว”
“การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันหรือ Proactive Healthcare จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในยุคปัจจุบันซึ่งไม่เพียงช่วยให้เราตรวจพบความเสี่ยงและป้องกันโรคตั้งแต่เนิ่นๆแต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการปรับวิถีชีวิตให้สมดุลลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืนตลอดจนสร้างวัฒนธรรมการดูแลตนเองเชิงรุกที่สามารถป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในระยะยาวและสนับสนุนให้ระบบสุขภาพของประเทศมีความยืดหยุ่นแข็งแรงและพร้อมรับมือกับความท้าทายด้านสุขภาวะในอนาคต” นายแพทย์ตนุพล กล่าวเพิ่มเติม
เศรษฐกิจ Wellness: ขุมทรัพย์ล้ำค่าของประเทศไทยสู่การขับเคลื่อนการเติบโตของ GDP ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 
เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน หนึ่งในแนวโน้มที่กำลังได้รับความนิยมและมีบทบาทสำคัญระดับโลก คือ ‘เศรษฐกิจสุขภาพ’ (Wellness Economy) ซึ่งเน้นการลงทุนและการพัฒนาบริการที่ส่งเสริมสุขภาพร่างกาย จิตใจ และคุณภาพชีวิตโดยรวม โดยอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดของ Global Wellness Institute (GWI) พบว่า เศรษฐกิจเวลเนสทั่วโลกมีอัตราการเติบโตสูงถึง 7.6% ต่อปีในช่วงปี 2024–2029 โดยในบรรดาภาคส่วนของเศรษฐกิจเวลเนส การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างโดดเด่น โดยอยู่ในอันดับที่ 5 รองจากภาคส่วนสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพ (Wellness Real Estate) การแพทย์แผนโบราณและการแพทย์ทางเลือก (Traditional & Complementary Medicine) การดูแลสุขภาพจิต (Mental Wellness) และ การบำบัดด้วยน้ำแร่และน้ำพุร้อนธรรมชาติ (Thermal & Mineral Springs Therapy)
สำหรับประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเพื่อ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้วยบริการด้านสุขภาพต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์การพักผ่อนผสานกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และประสบการณ์ด้านสุขภาพในมิติที่หลากหลาย ตั้งแต่การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน การฟื้นฟูร่างกายหลังเจ็บป่วย การรักษาเฉพาะทาง ไปจนถึงการพักผ่อนเชิง Wellness ที่ผสมผสานศาสตร์การแพทย์ไทยและแพทย์แผนปัจจุบัน เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิม พร้อมทั้งโอบล้อมด้วยทิวทัศน์และธรรมชาติอันงดงามในประเทศไทย อย่างภูเขา ทะเล และแม่น้ำ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายที่เอื้อต่อการฟื้นฟูร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาน ทำให้ผู้มาเยือนได้รับประสบการณ์ที่ส่งเสริมสุขภาพครบมิติที่หลากหลาย
ด้วยเหตุนี้ การให้ความสำคัญกับบริการที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพจึงกลายเป็นปัจจัยดึงดูดความสนใจจากทั้งประชากรในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยศักยภาพและความได้เปรียบทางด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย ไม่เพียงแค่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่ยังเสริมสร้างรายได้และการเติบโตของ GDP ในภาคการท่องเที่ยว และยังสะท้อนถึงศักยภาพของไทยในการต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลาง Wellness Hub ในระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Health Vision 2050 ของโอมาน ที่สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสใหม่ในการพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ Wellness ระหว่างสองประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นการมอบบริการสุขภาพ การสนับสนุนทางการแพทย์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งไทยสามารถตอบโจทย์ได้ด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ที่ทันสมัย บริการสุขภาพและ Wellness มาตรฐานสากล ชื่อเสียงด้าน Hospitality ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง รวมถึงโรงพยาบาล คลินิกด้านการดูแลสุขภาพระดับลักชัวรี และความชำนาญการด้าน Holistic & Preventive Healthcare ทำให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นพันธมิตรสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพสมัยใหม่ของโอมานอย่างเป็นรูปธรรม
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.