SCB FM มองเงินบาทอาจแข็งค่าต่อได้แต่อัตราการแข็งค่าอาจไม่มากเท่าช่วงก่อนหน้านี้ขณะที่อัตราดอกเบี้ยไทยอาจลงต่อ

SCB FM มองเงินบาทอาจแข็งค่าต่อได้แต่อัตราการแข็งค่าอาจไม่มากเท่าช่วงก่อนหน้านี้ขณะที่อัตราดอกเบี้ยไทยอาจลงต่อ

5 พ.ย. 2025
กลุ่มงานตลาดการเงินธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่าการอ่อนค่าของเงินบาทในเดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่มาจากราคาทองคำขณะที่ปัจจัยด้านแข็งค่ามาจากเลขส่งออกไทยที่ดีกว่าคาดและ Sentiment ต่อภาวะการค้าโลกที่ดีขึ้นในระยะต่อไปคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าได้แต่อัตราการแข็งค่าจะน้อยกว่าช่วงก่อนหน้านี้มองกรอบระยะสั้น 31.90-32.40 และช่วงปลายปีอาจแข็งค่าต่อไปที่ 31.70-32.20 บาทต่อดอลลาร์ด้านอัตราดอกเบี้ยมองว่ากนง. อาจลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yields) กลับมาลดลงอีกได้แต่ Yields ระยะยาวจะลดลงได้น้อยกว่าจาก Term premium ที่กลับมาสูงขึ้นในช่วงหลังตามอุปสงค์ต่อพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ลดลง
นายแพททริกปูเลียรองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์เปิดเผยว่า เงินบาทเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบที่ประเมินไว้ โดยปัจจัยด้านราคาทองคำมีผลต่อค่าเงินบาทค่อนข้างมาก หลังจากที่ราคาทองคำสูงขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทองคำในตลาดโลกก็เผชิญแรงเทขายทำกำไร ทำให้ราคาปรับลดลงแรง และพบว่านักลงทุนไทยเทขายทองคำออกมาเช่นกัน โดยแรงขายทองคำกดดันให้เงินบาทปรับอ่อนค่าเร็วในช่วงดังกล่าว นายแพททริกกล่าวเสริมว่าความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างเงินบาทและทองคำโดยส่วนใหญ่จะไปในทิศทางเดียวกัน คือ หากราคาทองคำสูงขึ้น มักเห็นเงินบาทแข็งค่าตามการขายทองคำในรูปเงินดอลลาร์เพื่อทำกำไร อย่างไรก็ดี ในบางช่วงอาจพบว่า Correlation เปลี่ยนไป ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองและพฤติกรรมของนักลงทุน เช่น หากมองว่าราคาทองคำจะขึ้นต่อเนื่อง ก็จะมีแรงซื้อทองคำและเงินดอลลาร์ต่อ กดดันให้เงินบาทอ่อนค่า
ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศส่งผลทางอ้อม (Indirect effects) มาที่เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเช่นกันเช่นการอ่อนค่าของเงินเยนและเงินยูโร โดยการแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่นส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่า เพราะมีนโยบายเน้นไปที่การเร่งการใช้จ่ายภาครัฐและกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดกังวลเรื่องฐานะการคลัง นอกจากนี้ เงินยูโรก็เผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่า เพราะความกังวลในเรื่องการผ่านกฎหมายร่างงบประมาณปี 2026 ของฝรั่งเศสยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก และไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้ เนื่องจากพรรคของนายกฯ คนใหม่มีคะแนนเสียงไม่พอที่จะโหวตผ่านสภา จึงต้องปรับร่างงบประมาณใหม่เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านด้วย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และส่งผลทางอ้อม ทำให้เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมา ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น เริ่มจากความกังวลต่อฐานะของธนาคารภูมิภาคในสหรัฐฯ ที่มีการตัดชำระหนี้เสียสูง ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และยังมีดีลการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทำให้ Sentiment โดยรวมในตลาดเอเชียปรับดีขึ้น นอกจากนี้ เลขส่งออกไทยออกมาดีกว่าคาดมาก จึงทำให้เงินบาทแข็งค่า
สำหรับมุมมองเงินบาทในระยะสั้นคาดว่าจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าได้ต่อเนื่อง เพราะ 1) Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือน ธ.ค. เพราะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณอ่อนแอลงชัดเจนขึ้น สะท้อนจากการปลดพนักงานเอกชนบางแห่ง ซึ่งขณะนี้ตลาดให้โอกาสเพียง 70% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ดังนั้น หาก Fed ลดดอกเบี้ยตามที่เราคาด จะทำให้ US Treasury yields ลดลง และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า กดดันให้บาทแข็งค่าได้ 2) เงินยูโรและเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าได้ต่อ ซึ่งจะดันให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง โดยเป็นผลจากโมเมนตัมเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้นในระยะต่อไป ตามการใช้จ่ายภาครัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งในยุโรปและจีน สำหรับทิศทางเงินเยน นายแพททริกกล่าวว่า โอกาสที่เงินเยนจะอ่อนค่าต่อมีน้อยลง เพราะมีโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะเข้าแทรกแซงค่าเงินมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินเยนถูกปรับฐานให้แข็งค่าได้ นอกจากนี้ ช่วงปลายปีมีโอกาสที่ BOJ จะเริ่มส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย โดยอาจขึ้นจริงช่วงต้นปีหน้า ทำให้อาจเห็นเงินเยนเริ่มกลับมาแข็งค่าได้
อัตราการแข็งค่าของเงินบาทอาจไม่มากเท่าในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพราะเงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าไทยไม่มากเท่าประเทศอื่นในภูมิภาค และการปรับขึ้นของราคาทองคำเริ่มชะลอลงแล้ว จึงหนุนบาทได้ไม่มาก โดยมองกรอบเงินบาท 1 เดือนจากนี้ที่ราว 31.90-32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมองเงินบาทปลายปีมีแนวโน้มแข็งค่าต่ออีกเล็กน้อยที่กรอบราว 31.70-32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายวชิรวัฒน์บานชื่นนักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโสธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวว่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่ราว 32.30-32.80 เป็นระดับที่ผู้ส่งออกอาจพิจารณาขายได้โดยปัจจัยที่อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าขึ้นไปที่ระดับนี้อาจมาจากการสื่อสารของ Fed ที่ยังกังวลเรื่องเงินเฟ้อและไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อชัดเจน ซึ่งอาจกดดันให้ดัชนีเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าต่อได้ นอกจากนี้ หากเงินเยนยังอ่อนค่าต่อ และราคาทองคำปรับลดลง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ดีหากเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามาที่ราว 31.50-32.00 ผู้นำเข้าอาจพิจารณาซื้อดอลลาร์ได้โดยหากเลขส่งออกไทยยังออกมาสูงกว่าคาด หรือความขัดแย้งทางการค้าที่ทุเลาลงหลังทรัมป์ทำข้อตกลงการค้าได้ ก็อาจสนับสนุน Sentiment ในตลาดเอเชียรวมถึงไทย นอกจากนี้ หากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยส่งผลชัดเจนขึ้นอาจทำให้บาทแข็งค่า
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในเดือนที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นเป็นผลจาก 1) กนง. ไม่ลดดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดไว้ 2) อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยต่ำ ทำให้Valuation ต่ำกว่าพันธบัตรประเทศอื่น 3) ความต้องการจากนักลงทุนสถาบันบางกลุ่มทีลดลง รวมถึงมีแรงขายเพื่อทำกำไรจากการถือพันธบัตรรัฐบาลก่อนหน้านี้ 4) ความไม่แน่นอนทางการเมือง และมาตรการรัฐที่ออกมาเพิ่ม และ 5) Bond supply ช่วงที่ผ่านมามีเยอะ ในระยะต่อไปแนวโน้ม Yield curve ของไทยอาจปรับชันขึ้น (Steepen) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (ST yields อายุ 2 ปี) อาจปรับลดลงได้ตามการลดดอกเบี้ยของ กนง. ในเดือน ธ.ค. และต้นปีหน้า ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (LT yields อายุ 10 ปี) อาจปรับลดลงได้น้อยกว่าจาก Term premium ที่สูงขึ้นมาในช่วงนี้ ตาม Demand ที่มีแนวโน้มลดลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองรวมถึงนโยบายรัฐที่อาจใช้จ่ายมากขึ้นในช่วงที่เข้าใกล้การเลือกตั้งใหม่
Tag:SCB FM
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.