
SCB WEALTH พาฝ่าคลื่นความผันผวน “Storm Shift” กับงานฟอรั่มส่งท้ายปี ผนึกผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ-โลกชี้ทางพิชิตพายุเศรษฐกิจสู่ความมั่งคั่งให้ยั่งยืน
28 พ.ย. 2025
SCB WEALTH จัดสัมมนา SCB WEALTH: Holistic Wealth Forum 2025 ภายใต้ธีม Storm Shift ผนึกผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับประเทศและโลกมอบ “เข็มทิศทางการลงทุน”ให้แก่ลูกค้าเพื่อฝ่าพายุเศรษฐกิจโลกมองปี 2569 เป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อท่ามกลางพายุลูกใหญ่ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์เทคโนโลยี AI และโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไปมองประเทศไทยกลับอยู่ในจังหวะ “โอกาสทอง” จากตัวเลขของ BOI เม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้านตลาดทุนและBOI เร่งผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่ New Economy และ Third Wave ในเทคโนโลยี AI, Semiconductor และ Data Center ส่วน BlackRock เผยคลื่น AI Infrastructure จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ฮั่วเซ่งเฮงคาดทองคำปี 2569 ยังเป็นขาขึ้นมีโอกาสแตะ 4,700 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ SCBFM ประเมินเงินบาทผันผวนในกรอบ 31-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯปิดท้ายด้วยการส่งต่อธุรกิจและความมั่งคั่งผ่าน Family Office การจัดทำธรรมนูญครอบครัวเป็นสิ่งจำเป็นแนะหากลไกที่ทำให้การไกล่เกลี่ยเป็นกลางเพื่อช่วยปกป้องFamily Wealth จากพายุภายในให้มีความยั่งยืน
นายกฤษณ์ จันทโนทกประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวเปิดงาน “SCB WEALTH: HOLISTIC WEALTH FORUM 2025 ” ภายใต้ธีม “The Storm Shift ” ว่า สถานการณ์ของโลกในช่วงเวลานี้ เรากำลังเผชิญอยู่ท่ามกลางพายุความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ตั้งแต่ความผันผวนด้านเศรษฐกิจมหภาค ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ไปจนถึงปัญหาโครงสร้างประชากร ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนส่งผลต่อแนวคิดในการบริหารความมั่งคั่งของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
ในยุคที่โลกมีความไม่แน่นอนรอบด้าน ความมั่งคั่งไม่ได้หมายถึงเพียงมูลค่าสินทรัพย์อีกต่อไป แต่คือความสามารถในการรักษา ขยาย และส่งต่อ ความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทนี้ SCB WEALTH ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการบริหารความมั่งคั่งของไทย ผ่าน 3แกนกลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) Customer Centricity การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เข้าใจทุกความต้องการของลูกค้าและคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นสำคัญ 2) Hyper-Personnalization การผสานพลังของทีมที่ปรึกษาการลงทุนเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อออกแบบโซลูชันการลงทุนที่เหมาะสมรายบุคคล ตอบโจทย์เป้าหมายของลูกค้าแต่ละท่าน และ3) Go Global การเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้าถึงการลงทุนระดับโลกที่หลากหลายผ่านเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำระดับโลกของธนาคาร ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมโยงกับธีมงาน “The Storm Shift ” จึงสะท้อนความจริงที่ว่าโลกวันนี้ไม่อาจหยุดรอให้พายุสงบ แต่ทุกคนจำเป็นต้อง Shift เพื่อเปลี่ยนมุมคิดและกลยุทธ์สู่การบริหารความมั่งคั่งแบบรอบด้านและให้มั่นคงกว่าเดิม
โดย SCB WEALTH พร้อมทำหน้าที่เป็นประภาคาร หรือ Guiding Lighthouse ที่คอยส่องสว่างและนำทางให้ลูกค้าสามารถเดินหน้าฝ่าคลื่นความผันผวนไปสู่ความสำเร็จได้ในระยะยาว โดยเชื่อว่าองค์ความรู้และกรอบแนวคิดเชิงกลยุทธ์จากงานฟอรั่มในครั้งนี้ จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมความพร้อมรับมือกับปี 2569 ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดยขอย้ำหลักคิดสำคัญของ SCB WEALTH ว่า “ยิ่งพายุรุนแรงเท่าไหร่ แสงจากประภาคารก็ยิ่งต้องสว่างมากขึ้นเท่านั้น” พร้อมกันนี้ SCB WEALTH จะขอยืนเคียงข้างลูกค้าในทุกสภาวะตลาด เพื่อให้การเดินทางสู่ความมั่งคั่งเป็นไปอย่างมั่นคง ปลอดภัย และยั่งยืน ภายใต้แนวคิดที่ยังคงยึดมั่น Your Success. Our Success.
“The Storm Shift ” สะท้อนความจริงที่ว่าโลกวันนี้ไม่อาจหยุดรอให้พายุสงบแต่ทุกคนจำเป็นต้องShift เพื่อเปลี่ยนมุมคิดและกลยุทธ์สู่การบริหารความมั่งคั่งแบบรอบด้านและมั่นคงกว่าเดิม” นายกฤษณ์กล่าว
สำหรับงานสัมมนาในช่วงแรก ใช้ชื่อว่า ILLUMINATE ทำหน้าที่เสมือนแสงสว่างจากประภาคาร ช่วยให้ผู้ลงทุนมองเห็นทั้งโอกาส และความเสี่ยงที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างถูกทิศทาง ภายใต้หัวข้อ “The Future of Thai Wealth: Navigating the Macro Storm ” ซึ่งมุ่งวิเคราะห์และถอดรหัสปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางความมั่งคั่งของไทยในปีหน้าโดย นายนฤตม์เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญพายุครั้งใหญ่ ทั้งปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว กติกาใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมและภาษีขั้นต่ำของโลก พายุครั้งนี้มาพร้อมกับ “โอกาสทอง” รอบใหม่ของประเทศไทย หากประเทศไทยสามารถเตรียมความพร้อม และช่วงชิงการลงทุนได้ทันเวลา จะเห็นได้ว่าปัจจุบันเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลกหดตัวติดต่อกัน 2 ปี และในปีที่ผ่านมาติดลบถึง 11% แต่ภูมิภาคอาเซียนกลับเติบโตสวนกระแสกว่า 8% และไทยเองก็ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่น ทั้งในแง่ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพด้านพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนที่ครบวงจร นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนและต่อเนื่อง รวมทั้งความน่าดึงดูดสำหรับผู้บริหารและบุคลากรต่างชาติที่จะมาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย
ภาพรวมการลงทุน 9 เดือนแรกของปี 2568 เม็ดเงินลงทุนในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมูลค่าการลงทุนรวมเพิ่มขึ้นถึง 94% จาก 709,905 ล้านบาทในปีก่อน เพิ่มขึ้นเป็น 1,374,553 ล้านบาท จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นจาก 2,137 โครงการเป็น 2,622 โครงการ เติบโต 23% ด้านการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มีมูลค่ารวมราว 985,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82% ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ไต้หวัน เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ และมาเลเซีย
นอกจากนี้ ยังมีหลายโครงการสำคัญในกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงที่ได้เริ่มเข้ามาลงทุนในไทยแล้ว เช่น Infineon, Analog Devices, Microchip, Lumentum, Foxsemicon, Garmin, Haier, Sunwoda, Zhen Ding Tech Group และ Harman เป็นต้น ในช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ซึ่งในการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ ดาต้าเซ็นเตอร์ หรือเทคโนโลยี AI ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญ ทั้งบุคลากรทักษะสูง ซัพพลายเชนใหม่ๆ และพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยตลอดหลายทศวรรษข้างหน้า
“พายุครั้งนี้ไม่ได้พาเพียงความท้าทายแต่กำลังพา “โอกาสทองของประเทศไทย” กลับมาอีกครั้งและหน้าที่ของเราคือการทำให้ประเทศพร้อมที่สุดเพื่อดึงดูดการลงทุนแห่งอนาคตมาอยู่ในไทยให้สำเร็จ” นายนฤตม์กล่าว
นายอัสสเดชคงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กล่าวว่า แม้โลกเผชิญพายุความไม่แน่นอน แต่เงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและการก่อรูปของ New Economy ที่เริ่มเห็นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและ AI ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงาน BOI มีมุมมองที่สอดคล้องกันในเรื่องการผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่ Third wave ผ่าน 4 Pillars ที่ว่าด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และเศรษฐกิจยุคใหม่ พร้อมยอมรับว่าตลาดทุนไทยตลอด 30 ปีแทบไม่เปลี่ยนแปลงยังเป็น Old Economy เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมใหม่ผ่านโครงการส่งเสริมการลงทุนของ BOI จึงเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่าประเทศไทยกำลังเริ่มมี Second Wave ของการเติบโต
ตลาดทุนไทยมีหน้าที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโครงสร้างให้ธุรกิจใหม่ระดมทุนได้ง่ายขึ้น เพื่อสร้าง New S-curve ให้เศรษฐกิจไทยรองรับการแข่งขันในอนาคต ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำงานร่วมกับ BOI อย่างใกล้ชิด เพื่อดึงดูดให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยพิจารณาระดมทุนในตลาดทุนไทยด้วย ปัจจุบันเกณฑ์ Market Cap ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจใหม่ระดมทุนได้แม้ยังไม่มีกำไร ไม่เคยถูกใช้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีความยุ่งยากและไม่จูงใจเพียงพอ ตลาดหลักทรัพย์จึงร่วมมือกับ BOI และสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อทบทวนการออกเกณฑ์ใหม่ให้เหมาะสมกับธุรกิจเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมอนาคตมากขึ้น เพื่อให้บริษัทที่เข้ามาตั้งฐานในไทย และขณะเดียวกัน BOI เริ่มนัดหมายบริษัทต่างชาติรายใหญ่ให้พบกับตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเสนอทางเลือกในการระดมทุนในไทย ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มแรงดึงดูดการลงทุนใหม่อย่างมหาศาล
นายอัสสเดช มองว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในอัตราต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งมากและเมื่อราคาหุ้นปรับลงจน “ถูก” ประกอบกับเงินปันผลที่จูงใจ ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ดี หากสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ชัดเจนและยั่งยืนขึ้น และย้ำว่าการดึงเงินลงทุนจากต่างชาติให้ระดมทุนผ่านตลาดทุนไทยจะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ความเชื่อมั่นกลับมาเร็วยิ่งขึ้น
“ตลาดทุนไทยกำลังก้าวจาก Old Economy สู่ New S-Curve การดึงเงินลงทุนต่างชาติให้เข้าระดมทุนในไทยคือกุญแจสำคัญที่ปลุกความเชื่อมั่นให้กลับมา”นายอัสสเดชกล่าว
ในช่วงที่ 2 ของงานสัมมนา ใช้ชื่อว่า Navigate เป็นการมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ภายใต้หัวข้อ “The Global AI Race: Riding the Tsunami of Tomorrow's Infrastructure ” คลื่นยักษ์แห่งโอกาสลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI แห่งอนาคตซึ่งกำลังกลายเป็นเมกะเทรนด์สำคัญของโลกการลงทุน นายศรชัยสุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากมุมมองของนักลงทุน เชื่อว่า หากสามารถจับจังหวะเมกะเทรนด์โลกได้ มักจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว ซึ่งจากข้อมูลในอดีตสะท้อนให้เห็นว่า ในช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของเศรษกิจโลก เช่น ยุคอินเทอร์เน็ต ตลาดหุ้น Nasdaq ปรับเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว หรือยุคดาต้า แพลตฟอร์ม ที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล การบริโภคผ่านอี-คอมเมิร์ซ หุ้นกลุ่ม FAANG (Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google) ปรับตัวขึ้นไป 10-20 เท่าตัว ขณะที่ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งทำให้ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หุ้น Magnificent 7 ที่เชื่อมโยงกับ AI ได้แก่ Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet บริษัทแม่ของ Google, Meta ซึ่งเดิมคือ Facebook, Nvidia และ Tesla ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า AI จะเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจโลกกว่า 15.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย AI กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด เราเห็นการพัฒนาของ AI ที่กำลังก้าวจาก Generative AI สู่ Agentic AI ที่ทำงานหลายภารกิจพร้อมกัน ซึ่งต้องการพลังประมวลผลและโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาล ทำให้มีความจำเป็นต้องขยายการลงทุนใน AI Infrastructure ในระดับเมืองและประเทศ ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากนักลงทุนกำลังมองหาโอกาสลงทุนในเมกะเทรนด์ AI นอกเหนือจากหุ้นกลุ่ม AI โดยตรงแล้ว ก็มีโอกาสลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องอีกมาก เช่น กลุ่ม AI Infrastructure ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล Cloud computing หรือโครงข่ายไฟฟ้าที่มีความจำเป็นต้องขยาย เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของดาต้า เซ็นเตอร์ ในอนาคต
Mr.George Maltezos ,Head of BlackRock Capital Formation Team (CFT) in Asia Pacific and Head of Southeast Asia Institutional Client Business กล่าวว่าแม้ตลาดทุนทั่วโลกกำลังผันผวนจากเศรษฐกิจชะลอตัว การปิดหน่วยงานรัฐในสหรัฐฯ และประเด็นการเลิกจ้างพนักงาน (Layoff ) แต่สิ่งที่สะท้อนในตลาดกลับตรงกันข้ามเพราะ AI กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ ทำให้นักลงทุนต้องมองข้ามปัจจัยระยะสั้น และจับเมกะเทรนด์ระยะยาวแทน โดยมี 4 Mega Forces ที่ขับเคลื่อนโลกคือ Digital & AI, Future of Finance, Energy Transition และDemographic Divergence และมองว่าการลงทุนใน AI Infrastructure ควรมีไว้ในพอร์ตระยะยาว เพราะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ ถนน และ Data Centerคือหัวใจการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นสินทรัพย์ที่มีรายได้สม่ำเสมอ ความผันผวนต่ำ และเติบโตไปพร้อมประเทศนั้นๆ
“AI จะเติบโตไม่ได้หากไม่มี Infrastructure ที่แข็งแรงรองรับวันนี้คือโอกาสของนักลงทุนที่จะลงทุนตั้งแต่รากฐานก่อนที่คลื่นใหญ่จะเกิดเต็มรูปแบบ” Mr.George กล่าว
นายธณาพลอิทธินิธิภัค Head of Thailand Business, BlackRock กล่าวว่า กระแส AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทั้งเม็ดเงินลงทุน เทคโนโลยี และจำนวนผู้ใช้งาน โดยปีนี้คาดว่าการลงทุนด้าน AI ทั่วโลกจะสูงถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอาจขยายตัวแตะ 3-4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า ประเทศต่างๆ จึงเร่งสร้าง Data Center ขนาดใหญ่ ทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและดาต้า กลายเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่
“AI กำลังเร่งความต้องการ Data Center สู่ระดับ Gigawatt ประเทศที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะในเศรษฐกิจยุคใหม่” นายธนาพลกล่าว
สัมมนาถัดไปในหัวข้อ “Golden Portfolio Defense in a Volatile Era” ทองคำสมอเรือแห่งพอร์ตการลงทุนยุคผันผวนโดยนายธนรัชต์พสวงศ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ราคาทองคำในปี 2569 ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ แม้ความร้อนแรงอาจไม่เทียบเท่าปีนี้ แต่ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยสำคัญหลายด้าน ทั้งความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลต่อภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และกระแส De-dollarization ที่ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าซื้อทองคำเพิ่มในทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาทองคำในปี 2569 อาจแตะระดับ 4,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ อย่างไรก็ตาม แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสม ช่วงที่ราคาย่อตัว เช่น บริเวณ 3,875 -3,900 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ และไม่ควรไล่ซื้อเมื่อราคาขึ้นแรงเพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
“ทองคำยังเป็นสมอเรือที่มั่นคงที่สุดในยุคพายุเศรษฐกิจและราคายังมีโอกาสแตะ 4,700 ดอลลาร์ฯในปี 2569” นายธนรัชต์กล่าว
ด้านนายแพททริกปูเลียรองผู้จัดการใหญ่ผู้บริหารสายงานตลาดการเงินธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวว่า การซื้อขายทองคำในสกุลเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เนื่องจากมีความผันผวนของค่าเงินบาทเข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับในปี 2569 คาดว่า เงินบาทจะมีความผันผวนต่อเนื่อง อาจเคลื่อนไหวในช่วง 31-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หากนักลงทุนต้องการกระจายความเสี่ยงสกุลเงิน สามารถเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit :FCD) เพื่อเปิดโอกาสเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯโดยตรง หรืออาจลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
สำหรับงานสัมมนาในช่วงที่ 3 ภายใต้ชื่อ ANCHOR มุ่งเน้นการสร้างเสถียรภาพ และการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งอย่างเป็นระบบ ภายใต้หัวข้อ “Reframing Business Succession: Protecting Family Wealth from Internal Storms”เป็นช่วงสุดท้ายที่เจาะลึกการส่งต่อธุรกิจและความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของธุรกิจครอบครัวไทย เพื่อปกป้อง Family Wealth ไม่ให้สั่นคลอนจากพายุภายในครอบครัวนางสาวสุธิดามงคลสุธีประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปัจจัยสำคัญที่สุดของการส่งต่อธุรกิจให้ประสบความสำเร็จคือการมีเป้าหมายร่วมกันในครอบครัว และการมอบอำนาจการตัดสินใจอย่างชัดเจนให้ผู้สืบทอดที่พิสูจน์ศักยภาพแล้ว พร้อมมองว่า Family Office คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครอบครัวสื่อสารกันได้ดีขึ้น ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางจัดการทั้งความสัมพันธ์และการส่งต่อ Wealth ในระยะยาว
นายนิติกานต์รามนัฏทนายความหุ้นส่วนจากเบเคอร์แม็คเค็นซี่ เปิดเผยว่า Family office ไม่ได้เป็นเพียงผู้ดูแลสินทรัพย์ แต่ยังช่วยบริหารการลงทุนที่ซับซ้อนในหลายประเทศ และเติมเต็มความเชี่ยวชาญที่ครอบครัวยังขาด หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือ “ธรรมนูญครอบครัว” ซึ่งเกิดจากความเห็นพ้องร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว แม้ข้อตกลงในธรรมนูญครอบครัวอาจไม่มีผลทางกฎหมายทั้งหมด แต่บางข้อ เช่น ข้อตกลงไม่ทำธุรกิจแข่งขัน มีผลผูกพันทางกฎหมาย และสามารถใช้บังคับได้ และข้อตกลงบางข้อในธรรมนูญครอบครัว เช่น ข้อตกลงเกี่ยวกับการจำกัดการโอนหุ้นในบริษัทครอบครัว ก็สามารถนำไปกำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทเพื่อให้มีผลผูกพันบุคคลภายนอกได้ นอกจากนี้ การจัดโครงสร้างแบบ Holding Company ยังช่วยกำกับการโอนหุ้นและทิศทางการบริหารธุรกิจครอบครัวในระยะยาวได้อีกด้วย
ดร.นิติเนื่องจำนงค์ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวว่า ความขัดแย้งในครอบครัวมักเริ่มจาก “การไม่มีเป้าหมายเดียวกัน” และ “ความเข้าใจระหว่างกันที่คลาดเคลื่อน” ซึ่งอาจจะยิ่งรุนแรงเมื่อผู้ก่อตั้งวางมือจากธุรกิจครอบครัว ความเกรงใจของสมาชิกในครอบครัวอาจยิ่งทำให้ปัญหาเรื้อรัง เพราะไม่มีใครกล้าสื่อสารตรงไปตรงมา Family Office จึงมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำผู้ที่สามารถทำหน้าที่ “ผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นกลาง” ช่วยบริหารความคาดหวัง เสริมสร้างความสัมพันธ์ และป้องกันปัญหาก่อนจะลุกลามสู่ความขัดแย้งที่ใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ การใช้อนุญาโตตุลาการเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถ “ชี้ขาดโดยมีผลทางกฎหมาย” ได้ รวมถึงสามารถนำมาใช้กับครอบครัวที่มีทรัพย์สินในต่างประเทศ ขณะเดียวกันระบบนี้เป็นระบบปิดทำให้เรื่องของครอบครัวไม่ถูกเปิดเผยออกสู่สาธารณะ ทั้งนี้ การส่งต่อธุรกิจให้สำเร็จต้องมีเป้าหมายร่วมกันในครอบครัว มีโครงสร้างบริหารที่ชัดเจน พร้อมกับเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาสม เช่น Family office และธรรมนูญครอบครัว เพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต และใช้ผู้เชี่ยวชาญหรืออนุญาโตตุลาการเป็นบุคคลที่สำคัญในการจัดการความขัดแย้ง และรักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคงจากรุ่นสู่รุ่นให้มีความยั่งยืน
ดังนั้น SCB WEALTH พร้อมทำหน้าที่เป็น ประภาคารแห่งความมั่งคั่ง เคียงข้างลูกค้าในทุกพายุการลงทุน เพื่อให้ความมั่งคั่งถูกรักษา เติบโต และส่งต่อได้อย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด Your Success.Our Success.
Tag:SCB WEALTH