กรณีศึกษา Rihanna ขาย “ชุดชั้นใน” อย่างไร​ ให้ธุรกิจมีมูลค่า 30,000 ล้านบาท

กรณีศึกษา Rihanna ขาย “ชุดชั้นใน” อย่างไร​ ให้ธุรกิจมีมูลค่า 30,000 ล้านบาท

12 ก.พ. 2021
หนึ่งในคำถามที่แฟนเพลงของ Rihanna คาใจมาตลอด
คงหนีไม่พ้น เมื่อไรจะมีผลงานใหม่ออกมาให้ได้ฟังสักที..
เพราะหลังๆ ดูเหมือนว่า เธอจะสนุกกับการเป็นแม่ค้า มากกว่าศิลปินซะแล้ว
ยิ่งล่าสุดมีข่าวว่า แบรนด์ชุดชั้นในของ Rihanna ที่ชื่อว่า “Savage X Fenty”
ซึ่งเธอร่วมทุนกับ TechStyle Fashion Group แพลตฟอร์มแฟชั่นออนไลน์ยักษ์ใหญ่
ประสบความสำเร็จในการระดมทุนเกือบ 3,500 ล้านบาท ในรอบ Series B
ทำให้ตอนนี้ Savage X Fenty ถูกประเมินมูลค่าบริษัทกว่า 30,000 ล้านบาท
แม้จะก่อตั้งมาได้เพียง 3 ปีเท่านั้น
ยังมีการคาดการณ์ว่า เมื่อปีที่แล้ว
Savage X Fenty มียอดขายราว 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 200%
เรื่องนี้น่าสนใจ เพราะในขณะที่หลายคนมองว่า ผู้นำธุรกิจชุดชั้นในอย่าง Victoria’s Secret กำลังจะตาย
ทำไมธุรกิจชุดชั้นในของ Rihanna ถึงกลับโตระเบิด
แน่นอนว่าชื่อเสียงจากการเป็นนักร้องระดับซุปตาร์ เป็นหนึ่งในแต้มต่อสำคัญ
ที่ทำให้ไม่ว่า Rihanna จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์อะไรมา ก็ได้รับความสนใจ
เพราะลำพังแค่ยอดผู้ติดตามของ Rihanna บน Instagram ก็มีมากถึง 90.8 ล้านบัญชี
มากกว่าจำนวนประชากรไทยทั้งประเทศ ที่มีอยู่เกือบ 70 ล้านคน ซะอีก
หมายความว่า ถ้าแค่ครึ่งหนึ่งของผู้ติดตาม Rihanna ผันมาเป็นลูกค้า ก็ได้ไม่ต่ำกว่า 45 ล้านออเดอร์..
แต่ถ้าจะเหมารวมว่า เพราะอาศัยพลังแฟนคลับ ​ก็ดูจะใจร้ายกับ Rihanna เกินไป
เพราะศิลปินดารา ที่มียอดผู้ติดตามเยอะ ก็ไม่ได้หมายความว่า ทำธุรกิจแล้วจะรุ่งทุกคน
แล้ว Rihanna มีกลยุทธ์อะไร ถึงปั้นแบรนด์ชุดชั้นใน จนมียอดขายปีละหลายพันล้าน
และสร้างธุรกิจจนมีมูลค่าหลักหมื่นล้าน ขึ้นมาได้
1. มองว่า “ทุกคน” คือลูกค้า
นักการตลาดหลายคนอาจไม่ถูกใจสิ่งนี้ แต่ Rihanna มีทัศนคติว่า
การมองว่า “ทุกคนคือลูกค้า” คือหัวใจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ของเธอประสบความสำเร็จ
จะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ของเธอไม่ได้เจาะกลุ่มว่าต้องเป็นผู้หญิงผิวสี หรือหุ่นแบบไหน ถึงจะใส่แล้วสวย
แต่ออกมาเพื่อผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่หุ่นนางแบบเอวบาง ไปจนถึงนางแบบพลัสไซส์
เพราะเธอเชื่อว่า ไม่ว่าผู้หญิงจะหุ่นแบบไหน สีผิวแบบไหน เราสามารถเป็นตัวเองได้ใน Best Version เสมอ

แถมล่าสุด เธอยังแตกไลน์ชุดชั้นในเพื่อผู้ชาย อาทิ กางเกงในทรงบ๊อกเซอร์ กางเกงในทรงทรังก์ และเซตชุดนอนผ้าซาตินอีกด้วย
2. นำเสนอในสิ่งที่ลูกค้าคาดไม่ถึง
ขณะที่ Victoria Secret ออกมาประกาศปิดตำนาน Victoria's Secret Fashion Show
อีเวนต์ประจำปี ที่คนทั้งโลกตั้งตาคอยเมื่อ 2 ปีก่อน
ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งเรตติ้งและยอดขายที่ลดลง
ไปจนถึงกระแสวิจารณ์ที่หลายคนมองว่า ใช้การตลาดเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าผู้ชาย มากกว่าให้คุณค่ากับผู้หญิง
แต่ Rihanna กลับโกยคะแนนนิยม จากการลุกขึ้นมาจัดแฟชั่นโชว์ชุดชั้นใน ในรูปแบบใหม่
ที่เลือกใช้นางแบบหลายรูปร่าง หลากเชื้อชาติและสีผิวมาร่วมเดินโชว์สินค้า
ตอกย้ำดีเอ็นเอของแบรนด์ที่เน้นความเท่าเทียม ตอกหน้า Victoria's Secret อย่างจัง แต่ได้ใจชาวโลก
3. เลือกเจาะตลาดออนไลน์
ในเมื่อแลนด์สเคปของธุรกิจรีเทลเปลี่ยนไป แทนที่จะทุ่มทุนมหาศาลไปกับการเปิดหน้าร้าน
นอกจาก Savage X Fenty จะเลือกขายทางออนไลน์ ยังจับมือกับ Amazon Prime
เพื่อถ่ายทอดสดแฟชั่นโชว์ พร้อมสร้างปรากฏการณ์ “Shop Now”
ถ้าลูกค้าถูกใจสินค้าชิ้นไหน ก็สามารถกดซื้อจากเว็บไซต์ Amazon ได้ทันที
แทนที่จะต้องอดใจรอไปที่หน้าร้าน ซึ่งลูกค้าอาจจะเปลี่ยนใจก่อนก็เป็นได้
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า หน้าร้านไม่สำคัญ
เพราะสุดท้ายแล้ว ก็ยังมีลูกค้าอีกกลุ่มที่ต้องการลอง หรือ เห็นของจริงก่อนซื้อ
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า Next Step ของ Savage X Fenty คือ นำเงินที่ระดมทุนได้ไปเปิดสาขา
เพียงแต่อาจจะต้องรอคอยจังหวะและเวลาที่เหมาะสม
หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า จัดกลยุทธ์มาเต็มขนาดนี้ ราคาของ Savage X Fenty จะแรงเบอร์ไหน
บอกเลยว่า ​​แม้ภาพลักษณ์แบรนด์จะดูหรูหรา แต่ราคากลับไม่สูงเกินเอื้อมอย่างที่คิด
เริ่มต้นในราคาหลักร้อยบาทก็มี​ ​
มาถึงตรงนี้ คงไม่แปลกใจแล้ว่า ทำไมแบรนด์ชุดชั้นในของ Rihanna ถึงโตระเบิด
เพราะ นอกจากแบรนด์ดิ้งจะดี การตลาดยังปัง จนทำเอาสาว Rihanna ขายของแทบไม่ทัน
เห็นทีงานนี้ แฟนๆ ที่หวังจะเห็นสาว Rihanna กลับมาจับไมค์คงอาจต้องรอไปก่อน…
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.