ทำไม iPhone ถึงครองใจ ชาว Gen Z และเรื่องนี้ส่งผลดีต่อ Apple อย่างไร ?

ทำไม iPhone ถึงครองใจ ชาว Gen Z และเรื่องนี้ส่งผลดีต่อ Apple อย่างไร ?

10 มี.ค. 2023
ถ้าเอ่ยถึงสมาร์ตโฟน แบรนด์ที่คนส่วนใหญ่นึกถึง คงเป็นแบรนด์ยอดนิยมในตลาด ซึ่งมีอยู่หลัก ๆ 5 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น iPhone ของ Apple, Samsung, Oppo, Vivo และ Xiaomi
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน หากลองเข้าไปถามคนแปลกหน้าสักหนึ่งคน ว่าเขาใช้สมาร์ตโฟนแบรนด์ใด คำตอบที่ได้รับเกินครึ่ง ต้องเป็นหนึ่งใน 5 แบรนด์ยอดนิยมข้างต้นอย่างแน่นอน
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ความจริงแล้ว iPhone ซึ่งเป็นสมาร์ตโฟนของ Apple นั้น กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคน Gen Z ทั่วโลกเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เกิดหลังปี 1996
หากจะบอกถึงความนิยมของ iPhone ในกลุ่มคน Gen Z นั้น ก็คงต้องยกตัวอย่างเป็นสถิติการใช้งานสมาร์ตโฟน ตามช่วงวัย ของคนในสหรัฐอเมริกา
ที่พบว่า ผู้ใช้ iPhone ในสหรัฐอเมริกา กว่า 34% เป็นกลุ่มคน Gen Z
ในขณะที่มีผู้ใช้สมาร์ตโฟนของ Samsung ในสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น ที่เป็นกลุ่มคน Gen Z
แถมในภาพรวม iPhone ยังครองส่วนแบ่งตลาด “สมาร์ตโฟน” ในสหรัฐอเมริกา ได้กว่า 50%
ในขณะที่แบรนด์อื่น ๆ ที่เหลืออีกไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยแบรนด์ ร่วมกันแชร์ส่วนแบ่งอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือของตลาด
ส่วนในเอเชียเอง ก็มีภาพแบบเดียวกันให้เห็น..
อย่างในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งนับว่าเป็นบ้านเกิดของ Samsung บริษัทผู้ผลิตสมาร์ตโฟน “ยักษ์ใหญ่” ของโลก
แต่กลับพบว่า คนเกาหลีใต้ “รุ่นใหม่” ที่มีอายุ 18-29 ปี ในสัดส่วนกว่า 52% ยอมรับว่า พวกเขาใช้ iPhone ไม่ได้ใช้ Samsung
ซึ่งสถิตินี้ นับว่าน่าสนใจมาก เพราะ Samsung ไม่สามารถ “ครองใจ” ลูกค้าซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ได้เลย จนปล่อยให้ Apple กินส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ตโฟน มากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่เว้นแม้แต่ “บ้านเกิด” ของ Samsung เอง..
ส่วนที่ไทย แม้จะไม่มีข้อมูลการใช้งานสมาร์ตโฟน ของผู้ใช้งานในแต่ละช่วงวัย
แต่จากข้อมูลของ StatCounter GS ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2023
พบว่า Apple กินส่วนแบ่งตลาดสมาร์ตโฟนมากที่สุด เป็นอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 31%
ตามมาด้วย Samsung และ Oppo ที่ได้ส่วนแบ่งตลาด 19.9% และ 16.6% ตามลำดับ
คำถามที่เกิดขึ้นคือ “ทำไมกลุ่มคน Gen Z จึงนิยมใช้ iPhone” 
และอะไรคือสิ่งที่ Apple ใช้ดึงดูดชาว Gen Z..
คำถามนี้ ตอบได้ไม่ยากนัก เพราะสิ่งที่ Apple ใช้มัดใจกลุ่มคน Gen Z ให้เลือกใช้ iPhone แทนที่จะใช้สมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ในตลาด ที่มีให้เลือกอีกหลายสิบ หลายร้อยรุ่น
นอกจากเรื่องแบรนดิงที่แข็งแรง ซึ่งดึงดูดให้ชาว Gen Z อยากใช้ iPhone ตามเพื่อน ๆ แล้ว
อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้กลุ่มคน Gen Z เทใจให้กับแบรนด์นี้ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า Ecosystem นั่นเอง
โดยเฉพาะ “ฟีเชอร์” ที่ช่วยอำนวยความสะดวกเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับกลุ่มคนที่ใช้ iPhone รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple
เช่น ฟีเชอร์ AirDrop ที่ผู้ใช้สามารถส่งไฟล์ รูปภาพ คลิปวิดีโอ หรือแม้แต่ลิงก์เว็บไซต์ต่าง ๆ ไปยังอุปกรณ์ Apple เครื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นของตัวเอง หรือของคนรอบตัวก็ตาม
ซึ่งหากไม่ได้ใช้ iPhone ก็จะไม่ได้รับความสะดวกสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้
นอกจากนี้ อีกหนึ่งฟีเชอร์สำคัญ ที่ดึงดูดกลุ่มคน Gen Z ได้ดีที่สุด ก็คือฟีเชอร์ iMessage ซึ่งเป็นระบบการส่งข้อความเฉพาะของ Apple ที่จะใช้งานได้กับ iPhone และอุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple เท่านั้น
ในเรื่องนี้ หลาย ๆ คนอาจมองว่า ทำไมฟีเชอร์ iMessage ถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งที่มันก็ดูเป็นแค่ระบบการส่งข้อความเท่านั้น..
ความจริงแล้ว ต้องบอกก่อนว่า กลุ่มคน Gen Z กำลังถูกสังคมกดดัน
เพราะหากใครที่ไม่ได้ใช้ iPhone ก็จะต้องพูดคุยกับเพื่อนคนอื่น ๆ ในกลุ่ม ผ่านการส่งข้อความ SMS แทน และจะไม่สามารถใช้งานฟีเชอร์ต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับการใช้ iMessage ได้ เช่น
การสร้างกลุ่ม การส่งรูปภาพ คลิปวิดีโอ ไฟล์ GIF การส่งสติกเกอร์ อีโมจิ รีแอ็กชัน และการยกเลิกการส่งข้อความ (Unsent) ก็จะไม่สามารถทำได้เลย
แถม Apple ยังแบ่งแยกผู้ที่ส่งข้อความ ระหว่าง SMS และ iMessage อย่างชัดเจน ด้วยการใช้สีของกล่องข้อความที่แตกต่างกัน
โดยหากใช้ iMessage กล่องข้อความจะมีสีน้ำเงิน
แต่หากใช้ SMS กล่องข้อความจะมีสีเขียว
ซึ่งในสหรัฐอเมริกา ถึงกับมีประเด็นที่กลุ่มคน Gen Z ถูกกดดันจากกลุ่มเพื่อน ให้ซื้อ iPhone มาใช้แทนสมาร์ตโฟน Android ของแบรนด์อื่น ๆ เพียงเพราะต้องการใช้ iMessage เลยทีเดียว
แต่นับว่าโชคดี ที่ในประเทศไทยของเรา ไม่ได้มีกรณีความกดดันจากกลุ่มเพื่อน แบบที่กลุ่มคน Gen Z ในสหรัฐอเมริกาต้องเจอ
เพราะไทยเรานิยมใช้แอปพลิเคชัน LINE ในการพูดคุยกัน ซึ่งสามารถใช้ได้ในสมาร์ตโฟนทุกรุ่น ทุกแบรนด์ ที่วางขายอยู่ในปัจจุบัน
และในเมื่อสังคม กดดันให้กลุ่มคน Gen Z ต้องใช้ iPhone ตามกลุ่มเพื่อน ทำให้ Apple ได้รับประโยชน์ไปในที่สุด
และเนื่องจาก Apple ขึ้นชื่อว่า เป็นบริษัทที่สามารถสร้าง Ecosystem ได้อย่าง “แข็งแกร่ง”
การใช้งาน iPhone เพียงเครื่องเดียว จึงเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก
เพราะหากใครได้ใช้อุปกรณ์ของ Apple หลาย ๆ ชนิดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, MacBook และ Apple Watch
ก็จะพบว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ของ Apple สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ อยู่ภายใน Ecosystem ของ Apple
เช่น ฟีเชอร์ AirDrop ที่ใช้สำหรับการส่งรูปภาพ คลิปวิดีโอ หรือไฟล์ต่าง ๆ การคัดลอก-วางข้อความ และรูปภาพ ข้ามอุปกรณ์ รวมถึงการเชื่อมต่อประวัติการใช้งานต่าง ๆ ได้โดยง่าย
ทำให้มีแนวโน้มที่กลุ่มคน Gen Z จะมี “โอกาส” ซื้ออุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple เพิ่มเติมอีก โดยที่ไม่ได้จบแค่การใช้งาน iPhone เพียงเครื่องเดียว
หรือในกรณีนี้ เราอาจเรียกแบบขำ ๆ ได้ว่า iPhone มีความสามารถในการ “เรียกเพื่อน” ของมันมาได้..
แถมเมื่อผู้ใช้งาน iPhone มีอุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะอยู่ในโลก Ecosystem ของ Apple จนไม่สามารถถอยออกมาได้ง่าย ๆ นั่นเอง
ซึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นของชาวยุโรป กว่า 4,000 คน พบว่า ชาวยุโรปที่ใช้ iPhone กว่า 52% ยอมรับว่า มีแนวโน้มที่จะใช้ iPhone ต่อไป โดยไม่ได้เปลี่ยนไปใช้สมาร์ตโฟนของแบรนด์อื่น ๆ
ในขณะที่กลุ่มคนที่ใช้สมาร์ตโฟน Android มีจำนวนไม่มากนัก ที่ยอมรับว่าจะใช้ Android ต่อไป
และการที่กลุ่มผู้ใช้งานสมาร์ตโฟน Android บอกว่าจะไม่ใช้ Android ต่อ
นั่นก็หมายความว่า พวกเขาต้องการเปลี่ยนมาใช้ iPhone นั่นเอง
และจากข้อมูลที่สำนักข่าว Financial Times รวบรวมไว้ พบว่า ทุก ๆ iPhone จำนวน 100 เครื่อง ที่ถูกขาย ออกไป Apple จะสามารถขายอุปกรณ์อื่น ๆ เพิ่มเติมไปได้ ในสัดส่วนดังนี้ 
- iPad 26 เครื่อง
- นาฬิกา Apple Watch 17 เรือน
- หูฟัง AirPods 35 คู่
ในขณะที่ Samsung สามารถขายอุปกรณ์อื่น ๆ ออกไปเพิ่มเติม ต่อสมาร์ตโฟน 100 เครื่อง ในสัดส่วนที่น้อยกว่า Apple มาก 
- Galaxy Tab 11 เครื่อง
- นาฬิกา Galaxy Watch 6 เรือน
- หูฟังไร้สาย 6 คู่
นอกจากนี้ การที่ Apple มีผู้ใช้งาน iPhone ที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากกลุ่มคน Gen Z รวมถึงกลุ่มคนในช่วงวัยอื่น ๆ ยังสร้างประโยชน์ให้กับ Apple ได้อีกอย่างหนึ่ง คือ
Apple สามารถสร้างรายได้จากบริการสมัครสมาชิก (Subscription) ต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Apple Music, iCloud, Apple TV+ และ Apple Arcade เป็นต้น
ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับ Apple ในระยะยาว นอกจากการขายอุปกรณ์เพียงอย่างเดียว เพราะอย่าลืมว่า การซื้อสมาร์ตโฟนสักเครื่องหนึ่ง เป็นการจ่ายเงินครั้งเดียวแล้วจบ
แต่บริการสมัครสมาชิกต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องจ่ายเป็นประจำทุกเดือน
ในยุคที่ผู้คนทั่วโลก มีแนวโน้มใช้สมาร์ตโฟนของตัวเอง “นานขึ้น” กว่าที่เคยเป็น
นั่นหมายความว่า การที่แบรนด์ต่าง ๆ รวมถึง Apple จะสร้างยอดขาย จากการเปลี่ยนสมาร์ตโฟนบ่อย ๆ ก็จะมีโอกาสลดลงไปด้วย
ซึ่งจากการเก็บรวบรวมข้อมูลของบริษัทวิจัยในต่างประเทศ พบว่า ในปี 2020 ที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยแล้วคนทั่วโลก จะเปลี่ยนสมาร์ตโฟน ทุก ๆ 43 เดือน เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 28 เดือน ในปี 2013
นั่นหมายความว่า แบรนด์สมาร์ตโฟนต่าง ๆ จำเป็นต้องหากลยุทธ์ ในการ “ตีตลาด” กลุ่มผู้ใช้งานใหม่ ๆ ที่กำลังเติบโตขึ้น
และกลุ่มคน Gen Z นี่เอง ที่กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าจับตามอง เพราะหากแบรนด์ต่าง ๆ สามารถเข้าไปอยู่ในใจลูกค้ากลุ่มนี้ และสร้าง Brand Loyalty ได้อย่างแข็งแกร่ง
ในวันที่กลุ่มคน Gen Z เติบโตขึ้น มีกำลังซื้อสูงขึ้น ก็เป็นไปได้ว่า พวกเขาก็อาจเลือกใช้สมาร์ตโฟน รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ โดยซื้อแบรนด์ที่พวกเขาชื่นชอบต่อไปเรื่อย ๆ
และจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่า Apple กำลังเข้าไปนั่งอยู่ในใจกลุ่มคน Gen Z มากขึ้นเรื่อย ๆ และอาจเป็นเช่นนี้ต่อไปในระยะยาว ก็เป็นไปได้..
อ้างอิง:
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.