สแตนดาร์ดอินเตอร์เนชั่นแนลจับมือแสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เขย่าตลาดเรสซิเดนซ์ ปักหมุดหัวหิน-ภูเก็ต

สแตนดาร์ดอินเตอร์เนชั่นแนลจับมือแสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เขย่าตลาดเรสซิเดนซ์ ปักหมุดหัวหิน-ภูเก็ต

12 ก.พ. 2024
สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล (Standard International) แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในธุรกิจไลฟ์สไตล์โฮเทล จับมือ 2 ดีเวปลอปเปอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (Sansiri Public Company Limited) ผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทยและ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด (CG Capital Limited) บริษัทบริหารการลงทุนจากตระกูลจิราธิวัฒน์ในรูปแบบกองทุน Private Equity ที่เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์
เปิดตัวโครงการ “THE STANDARD RESIDENCES” โครงการที่พักอาศัยรูปแบบ branded residences บนทำเลสุดฮอตกับ 2 เมืองท่องเที่ยวระดับโลก ได้แก่
- เดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์หัวหิน โครงการbranded residences แห่งแรกในเอเชีย กับทำเลบีชฟร้อนท์สุดแรร์บนชายหาดหัวหินที่ขาวและสวยที่สุดเทียบชั้นเมืองตากอากาศชั้นนำระดับโลกพร้อมกับ experience facilities ระดับเวิลด์คลาส
- เดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์ภูเก็ตบางเทา ที่นอกจากจะตั้งอยู่บนที่ดินไข่แดงของย่านที่ฮอตที่สุดในภูเก็ตอย่างย่านบางเทาแล้วยังให้ความลักซ์ชัวรี่แบบ super low density ด้วยจำนวนยูนิตแค่ 188 ยูนิต บนที่ดิน 12 ไร่ หรือ 16 ยูนิตต่อไร่ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตอยู่อาศัยเองและซื้อไว้เป็นฮอลิเดย์โฮมด้วยดีไซน์ทันสมัย แปลกใหม่ และมาตรฐานที่ไม่เหมือนใครในแบบฉบับของ เดอะ สแตนดาร์ด มูลค่าทั้ง 2 โครงการรวมกว่า 8,500 ล้านบาท
นายอมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร Standard International กล่าวว่า Standard International บริษัทเครือไลฟ์สไตล์โฮเทลระดับโลกและเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด (The Standard) ซึ่งก่อตั้งมากว่า 25 ปีด้วยเอกลักษณ์ ตัวตน และการฉีกกฎเกณฑ์ของมาตรฐานโรงแรมแบบเดิมๆ
เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในฮอลลีวูด รวมทั้งปักหมุดเปิดให้บริการในทำเลสำคัญทั่วโลกได้แก่ นิวยอร์ก, ไมอามี่, ลอนดอน, อิบิซา, มัลดีฟส์, หัวหิน และกรุงเทพมหานครที่เป็นแฟล็กชิพของเอเชีย อย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon
จุดเด่นของแบรนด์เดอะ สแตนดาร์ด คือ การสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับผู้เข้าพัก ด้วยบุคลิกที่สนุกสนาน ขี้เล่น รวมถึงการให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดอย่างพิถีพิถันทั้งการออกแบบ และการบริการ กลายเป็นเอกลักษณ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ เดอะ สแตนดาร์ดในฐานะผู้บุกเบิกในธุรกิจโรงแรมที่เป็นเอกลักษณ์ทั้งในด้านห้องพัก การท่องเที่ยว อาหาร และความสนุกยามค่ำคืน รวมถึงการเปิดประสบการณ์กับกิจกรรมหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นโชว์ การจัดวางชิ้นงานศิลปะ อาหารมื้อพิเศษ ไลฟ์มิวสิกหรือดีเจชั้นนำระดับโลก เอ-ลิสต์ปาร์ตี้ ฉายภาพยนตร์รอบพิเศษ ไปจนถึงการเปิดตัวแบรนด์สินค้า ทั้งหมดคือสิ่งที่ทำให้เดอะ สแตนดาร์ดพิเศษและไม่เหมือนใคร
สำหรับโครงการ The Standard Residences จะหยิบยกเอาจุดเด่นด้านดีไซน์ของโรงแรม The Standard ไม่ว่าจะเป็น ห้องนั่งเล่นที่ดูสนุกสนาน การผสมผสานโทนสี การเลือกสรรวัสดุ และเตียงนอนที่นุ่มสบาย มาต่อยอดกับบริการอันเป็นเอกลักษณ์  และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสร้างประสบการณ์พักผ่อนที่แตกต่าง ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เข้าพัก 
ทั้งนี้ ตลาด branded residences ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตถึง 216% ด้วยโลเคชั่นที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น The Standard Residences จึงไม่จำกัดเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักแต่ยังเล็งการขยายตัวไปยังเมืองที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีเอกลักษณ์โดดเด่น
ยกตัวอย่างเช่น บาหลี สิงคโปร์หรือ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น โดยโครงการ branded residences ที่ได้ทำการเปิดขายไปแล้ว มี 2 โครงการ ได้แก่
The Standard Residences, Midtown Miami มีจำนวนทั้งหมด 228 ยูนิต เป็นตึก 12 ชั้น โดยมีราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 450,000 บาท และมียอดขายแล้วกว่า 85% มีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2568
ส่วน The Standard Residences, Lisbon มีจำนวนทั้งหมด 32 ยูนิตแบ่งเป็น 3 ตึก โดยมีราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 350,000 บาท และมียอดขายแล้วกว่า 91% มีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567
การที่ทั้ง 2 โครงการ มีราคาขายสูงกว่าโครงการอื่น ๆ ในตลาดเดียวกันกว่า 20% เป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความสำเร็จในการพัฒนาโครงการbranded residences ของสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล
โดยมีจุดเด่นอยู่ที่สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งล็อบบี้เลาจน์ที่มีทั้งคาเฟ่, เดอะสแตนดาร์ดโซเชียลคลับ, คอร์ทพิคเคิลบอล, ห้องคาราโอเกะ, โยคะสตูดิโอ, ฟิตเนส, โคเวิร์คกิ้งสเปซ, ห้องเก็บจักรยานและห้องสมุดรวมถึงดีไซน์ที่แตกต่าง แม้ว่าโครงการที่ไมอามี่จะเป็นโครงการที่พักอาศัยเพียงอย่างเดียวก็ตาม
ทั้งนี้นายอมาร์ เชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 โครงการใหม่ อย่าง The Standard Residences, Hua Hin ที่มีบิ๊กแบรนด์ดีเวลลอปเปอร์อย่าง แสนสิริ ผู้บุกเบิกตลาดอสังหาฯ และครองเจ้าตลาดอันดับหนึ่งในหัวหินมายาวนานถึง 40 ปี และ The Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่ได้ดีเวลลอปเปอร์แถวหน้าอย่าง ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity ในบริษัททรงอิทธิพลอย่างเครือเซ็นทรัล รุกทำเลย่านบางเทา
ซึ่งเทียบได้ว่าเป็นทำเลทองหล่อของภูเก็ต จะเพิ่มมูลค่าของ branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard และมั่นใจว่า 2 โครงการนี้จะเป็นโครงการที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวที่มองหาบ้านพักตากอากาศที่มีเอกลักษณ์พร้อมบริการมาตรฐานระดับโลก รวมถึงเป็นแม่เหล็กตอบรับโจทย์ของนักลงทุนที่เล็งเห็นศักยภาพของเมืองท่องเที่ยวระดับเวิร์ลคลาสทั้ง 2 เดสติเนชั่น ทำให้สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ
นายอุทัย อุทัยแสงสุข– ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2567 ถือเป็นปีที่สำคัญของ แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของประเทศไทย ด้วยประสบการณ์หลากหลายครอบคลุมโครงการคุณภาพในทุกระดับเซ็กเมนท์รวมกว่า 500 โครงการ
ทั้งนี้แสนสิริพัฒนาโครงการรีสอร์ทคอนโดมิเนียม(รวม The Standard Residences, Hua-Hin) ในหัวหินมาแล้วจำนวนรวม 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท โดย 22 โครงการ Sold out (ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) จากความเชื่อมั่นในคุณภาพแบรนด์ โครงการคุณภาพสูง มาพร้อมมาตรฐานการออกแบบดีไซน์ที่โดดเด่นพร้อมฟังก์ชั่นตลอดจนบริการดูแลหลังการขายที่ สร้าง Value-added ให้กับลูกค้าที่อยู่อาศัยเองและปล่อยเช่า
“แสนสิริยกให้หัวหินเป็นหนึ่งใน Strategic Location สำคัญ โดยได้พัฒนาโครงการแฟล็กชิพแห่งแรก‘บ้านไข่มุก’ ซึ่งเป็นรีสอร์ทคอนโดลักซ์ชัวรี่ ติดริมหาดบนหาดทรายขาวที่สุดและสวยที่สุดของหัวหินปัจจุบัน ราคา capital gain พุ่งสูงถึง 1,000% จากการดูแลอสังหาฯให้คงสภาพเสมือนวันแรกที่เข้าอยู่โดย พลัส พร็อพเพอร์ตี้
เราพบว่าหัวหินเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัย Resort home เป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้น ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองเพื่อการลงทุนของชาวไทยและต่างชาติรวมทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่กำลังพัฒนาด้านระบบคมนาคม
รวมถึงการผลักดันของภาครัฐให้หัวหินเป็น World Class City of Relaxation ศูนย์กลางของด้าน Wellness และ Medical Tourism Hub ประกอบกับมีการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคหลักทั้งการขยายสนามบินเพื่อรองรับไพรเวทเจ็ทของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ซัวรี่และการตั้งเป้าให้หัวหินเป็นสมาร์ทซิตี้ที่มีความทันสมัยและปลอดภัย
และที่สำคัญ branded residences เป็นหนึ่งรูปแบบอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายเกือบทุกรูปแบบรวมถึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนทั้งในลักษณะการปล่อยเช่า (Rental Yield) และการขายต่อในอนาคต (Capital Gain) จากการดูแลบริหารจัดการโดยแบรนด์โรงแรมมาตรฐานระดับโลก”
ทั้งนี้ The Standard Residences, Hua Hin นับเป็นโปรเจกท์ไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้โดยมีมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาทและเป็น Beachfront branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard แห่งแรกในเอเชีย และมีกำหนดเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก
โครงการตั้งอยู่บนไพร์มโลเคชั่นบนที่ดินหายากติดหาดหัวหินที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ได้มาพร้อมกับไฮไลท์ Beachfront Pool Villa สุดแรร์ ราคาแตะ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น
โดดเด่นด้วย programming experience ที่ยกระดับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสไปกับ experience facilities ที่มีให้เฉพาะลูกบ้านของเรสซิเดนซ์เท่านั้นเพื่อสุดยอดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ฉีกกรอบทุกการพักผ่อน
และยังสามารถรับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟร่วมกันกับโรงแรม The Standard, Hua-Hin ซึ่งตั้งอยู่ในเดสติเนชั่นเดียวกันได้ตอบโจทย์ความต้องการไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ยูนีคและเพิ่มความเป็นอัตลักษณ์ หรือความตัวตนของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น
และที่สำคัญยังเป็นเรสซิเดนซ์แห่งแรกในหัวหินที่ pets allowed ตอบโจทย์คนรักสัตว์อีกด้วย โดยโครงการพร้อมเปิดให้ชม sales gallery ครั้งแรกวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 นี้และพร้อมเข้าอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569
ด้านนายภูมิ จิราธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีจี แคปปิตอลจำกัด กล่าวว่า ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity ในเครือเซ็นทรัล ได้จัดตั้ง กองทุนแรกในมูลค่า 10,000 ล้านบาท
เพื่อลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวเพื่อตอบโจทย์การท่องเที่ยวของไทยซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาวโดยมีผู้ลงทุนหลักได้แก่ 1.ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2. ธนาคารชั้นนำ 3. นักลงทุนสถาบันระดับโลก
ซึ่งมีแผนที่จะลงทุนทั้งในส่วนโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุกสวนน้ำ และโครงการมิกซ์ยูส ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานครภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ
“สำหรับภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า "ไข่มุกแห่งอันดามัน" เมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังติดอันดับ1 ใน 10 ของโลกและยังได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Workation อันดับ 10 ของโลก
หลังช่วงโควิดในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแล้วกว่า 11 ล้านคน ทำให้มีการเล็งเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทจากหลายผู้ประกอบการมากที่สุดในเมืองไทย
ประกอบกับโดยมีโรงเรียนนานาชาติถึง 13 แห่ง และโรงพยาบาลระดับไฮเอ็นด์ เหตุผลนี้เองทำให้อสังหาฯ ภูเก็ต เนื้อหอมทั้งในแง่ความต้องการ และการลงทุนใหม่ๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างจีนและรัสเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลัก และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตเพิ่มขึ้นถึง 113% และ CG Capital ได้เล็งเห็นถึงโอกาสทองในการลงทุนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสแห่งแรกในหาดบางเทา”
ทั้งนี้โครงการ The Standard Residences, Phuket Bang Tao ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดในย่านที่เป็นไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ของภูเก็ต อย่างย่านบางเทา ซึ่งอยู่ใกล้กับ Phuket Lifestyle Hub 3 นาทีใกล้หาดบางเทา 5 นาที ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาทีและเดินทางไปเมืองเก่าภูเก็ตเพียงแค่30 นาที
โดยก่อนหน้านี้กลุ่มเซ็นทรัลได้มีการเปิดตัวโครงการปอร์โต เดอ ภูเก็ต (Porto De Phuket) ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์บนพื้นที่ 40,000 ตารางเมตรจนกลายเป็นฮอตสปอตของภูเก็ตและย่านบางเทาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยทาง CG Capital ตั้งเป้าที่จะต่อยอดความสำเร็จด้วยการเปิดโครงการ The Standard Residences, Phuket Bang Tao และมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติด้วยความเป็นbranded residences ของเครือบูทีคไลฟต์สไตล์ระดับโลกอย่างThe Standard ที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี
พื้นที่ของโครงการทั้งหมดมีขนาด 19 ไร่ แบ่งเป็น 3 โปรเจกต์ เริ่มจากThe Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่มีขนาด 12 ไร่ และ โรงแรมเดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา(The Peri Hotel Phuket Bang Tao)
รวมถึง F&B Concept ใหม่ล่าสุดจากThe Standard ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีก 7 ไร่ ทั้งนี้ตัวโครงการ branded residences ประกอบด้วยอาคาร 7 ชั้นรวมแล้ว 6 อาคาร มีจำนวนห้องทั้งหมด 188 ยูนิต เตรียมเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 11.9 ล้านบาท รวมถึงเปิดs ales gallery ครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2567 และพร้อมเข้าอยู่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2569
ด้านอมาร์ยังได้เสริมถึง “Friend with Benefits” นับเป็นข้อเสนอที่เพิ่มประสบการณ์กับแบรนด์ The Standard ให้กับผู้ซื้อทั้ง 2 โครงการ
โดยจะได้รับสิทธิพิเศษถึง 3 รูปแบบ อันได้แก่ ส่วนลดห้องอาหาร 10-15% สำหรับร้านอาหารของโรงแรมในเครือ The Standard และ The Peri Hotel ในประเทศไทย และส่วนลดห้องพักในเครือ The Standard ทั่วโลกสูงถึง 25%
โดยปัจจุบันมีโรงแรมที่เปิดให้บริการทั้งหมด 20 แห่งทั้งในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา รวมถึงสิทธิประโยชน์ในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในอีเว้นต์ตามแบบฉบับแสตนดาร์ดไม่ว่าจะเป็นส่วนลด การซื้อบัตรเข้าร่วมงานในราคาพิเศษ และการได้รับเชิญมาเป็นแขกพิเศษในงานอีกด้วย
ทั้งนี้ทั้ง 3 ผู้บริหารมั่นใจว่า The Standard Residences, Hua Hin และThe Standard Residences, Phuket Bang Tao จะประสบความสำเร็จและสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกอย่างสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล
ควบคู่ไปกับความชำนาญ วิสัยทัศน์ และความแข็งแกร่งในการบริหารจัดการเฉพาะทางของทั้งสองดีเวลลอปเปอร์ ประกอบกับทำเลที่ตั้งของทั้งสองโครงการที่อยู่ในท็อปโลเคชั่นซึ่งเป็นที่สนใจของนักลงทุนและนักเดินทางที่มองหาที่พักที่มีมูลค่ามากกว่าการเป็นเพียงที่อยู่อาศัย
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.