สรุป “Google AI Ultra” แพ็กเกจ AI ใหม่ เดือนละ 9,400 บาท แพงสุดในตลาดตอนนี้ คุ้มไหม ทำอะไรได้บ้าง ?

ล่าสุด Google เพิ่งจัดงาน Google I/O 2025 ซึ่งเป็นงานประจำปีของ Google สำหรับนักพัฒนา

ซึ่งโดยปกติแล้ว Google จะใช้งานนี้ในการประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ฟีเชอร์ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งด้านซอฟต์แวร์ รวมถึงแพลตฟอร์มต่าง ๆ และที่สำคัญที่สุดคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)

หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจที่สุดในปีนี้ คือการประกาศเปิดตัว “Google AI Ultra” แพ็กเกจสำหรับใช้บริการรายเดือนที่ครอบคลุมที่สุด ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ AI ของ Google

โดยค่าสมัครบริการรายเดือน “Google AI Ultra” จะอยู่ที่เดือนละ 249.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณเดือนละ 9,400 บาท

และมีโปรโมชันพิเศษ คือได้รับส่วนลด 50% ใน 3 เดือนแรก ทำให้มีค่าบริการอยู่ที่ 4,700 บาทต่อเดือน

นั่นหมายความว่า นี่คือแพ็กเกจ AI ที่แพงสุดในตลาดในตอนนี้ เมื่อเทียบกับแพ็กเกจ AI จากค่ายอื่น ๆ เช่น ChatGPT Pro ซึ่งมีค่าบริการอยู่ที่ 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 6,500 บาท

เห็นค่าบริการรายเดือนสูงขนาดนี้ แล้วบริการของ Google AI Ultra มีอะไรที่พิเศษกว่า AI ทั่วไป หรือมีอะไรน่าสนใจบ้าง ?

1. สามารถใช้งานเครื่องมือ AI ต่าง ๆ ใน Gemini ได้ด้วยเวอร์ชันที่ดีที่สุด ได้แก่

ฟีเชอร์ Deep Research สามารถใช้งานเครื่องมือค้นคว้าเชิงลึก ได้มากกว่าแพ็กเกจอื่น ๆเข้าถึงเครื่องมือการสร้างวิดีโอด้วยโมเดล Veo 2 และ Veo 3 ซึ่งเป็นโมเดล AI สำหรับการสร้างวิดีโอที่ก้าวหน้าที่สุดก่อนใครสามารถใช้งาน AI สำหรับการเขียนโคด การวิจัยเชิงวิชาการ และงานสร้างสรรค์ที่มีความซับซ้อนได้

นอกจากนี้ ผู้ใช้งาน Google AI Ultra จะสามารถเข้าถึงฟีเชอร์ที่ชื่อว่า Deep Think ใน Gemini เวอร์ชัน 2.5 Pro ซึ่งเป็นโหมดการใช้งาน ที่สามารถวิเคราะห์ และให้เหตุผลที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ซึ่งจะปล่อยให้ใช้งานในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

2. เข้าถึง “Flow” เครื่องมือการสร้างภาพยนตร์ด้วย AI ระดับมืออาชีพได้

อธิบายง่าย ๆ คือ Flow เป็นเครื่องมือสร้างภาพยนตร์ AI ที่ออกแบบมา ให้ใช้งานกับโมเดลขั้นสูงของ Google DeepMind ซึ่งประกอบไปด้วย Veo, Imagen และ Gemini

ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอ หรือภาพยนตร์ โดยที่ลำดับเรื่องราวต่าง ๆ ในแต่ละฉากยังสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างสมจริง

ซึ่งผู้ใช้งาน Google AI Ultra จะสามารถเข้าถึงการสร้างวิดีโอ ที่มีความคมชัดสูงสุด 1080p สามารถใช้ฟีเชอร์การควบคุมมุมมองของภาพขั้นสูง และสามารถใช้งานโมเดล Veo 3 ก่อนผู้ใช้งานทั่วไปได้

3. “Whisk” เครื่องมือช่วยคิดไอเดีย และสร้างภาพใหม่ ๆ ผ่านชุดคำสั่ง ที่เป็นข้อความ หรือรูปภาพ

อธิบายง่าย ๆ ก็คือ การนำชุดคำสั่ง ที่เป็นข้อความหรือรูปภาพ แล้ว AI จะเปลี่ยนชุดคำสั่งนั้น ให้กลายเป็นวิดีโอความยาว 8 วินาที

โดยที่ผู้ใช้งาน Google AI Ultra จะสามารถใช้งานเครื่องมือ Whisk โดยมีการจำกัดการใช้งาน ที่น้อยกว่าผู้ใช้ทั่วไป

4. สามารถใช้งาน NotebookLM ซึ่งเป็นเครื่องมือจดบันทึก และวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI จาก Google ได้

โดยผู้ใช้งาน Google AI Ultra จะสามารถเข้าถึงการใช้งานเครื่องมือ NotebookLM ได้มากที่สุด ด้วยโมเดล AI ที่ฉลาดที่สุด

5. เข้าถึง Gemini บนทุกแอปพลิเคชันของ Google

เช่น Gmail, Google Docs, Google Vids และอื่น ๆ เพื่อช่วยให้การทำงานในชีวิตประจำวัน เป็นไปได้อย่างราบรื่น

6. ตั้งแต่วันนี้ Gemini จะเข้ามาผสานอยู่ใน Google Chrome อย่างเต็มรูปแบบ

ซึ่ง Gemini ที่อยู่ใน Google Chrome จะช่วยให้ผู้ใช้งาน สามารถเข้าใจข้อมูลที่ซับซ้อน และช่วยให้สามารถทำงานบนเว็บไซต์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

7. สามารถใช้งาน Agentic AI สำหรับช่วยงานต่าง ๆ ในชื่อ “Project Mariner” ได้

ซึ่ง Agentic AI ที่ชื่อว่า Project Mariner นี้ มีความสามารถในการช่วยจัดการงานต่าง ๆ ได้สูงสุด 10 งานพร้อมกัน ตั้งแต่การวิจัยไปจนถึงการจองคิว และการซื้อสินค้าต่าง ๆ ได้จากหน้าแดชบอร์ดเดียว

8. สามารถใช้งาน YouTube Premium ได้ทันทีที่สมัคร Google AI Ultra ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

9. ได้รับความจุบน Google Drive สูงถึง 30TB หรือก็คือ 30,000GB

ซึ่งนอกจากแพ็กเกจบริการ Google AI Ultra แล้ว Google ยังมีอีกหนึ่งแพ็กเกจ คือ Google AI Pro ซึ่งมีค่าบริการรายเดือนอยู่ที่ 19.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณเดือนละ 750 บาท

โดยมีความแตกต่างจาก Google AI Ultra คือ

- ไม่สามารถใช้งานโมเดลสร้างวิดีโอ Veo 3 ได้

ทำให้ผู้ใช้ Google AI Pro จะมีข้อจำกัด ไม่สามารถใช้เครื่องมือ Whisk และ Flow ได้ดีเท่าผู้ใช้ Google AI Ultra

- ไม่สามารถใช้งาน “Project Mariner” ซึ่งเป็น Agentic AI สำหรับการช่วยงานต่าง ๆ ได้

- ได้รับความจุบน Google Drive อยู่ที่ 2TB หรือ 2,000GB เท่านั้น

ส่วนเครื่องมืออื่น ๆ เช่น NotebookLM รวมถึงการใช้งาน Gemini ก็จะมีข้อจำกัดมากกว่าผู้ใช้ Google AI Ultra เช่นเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นความเก่งของโมเดล AI และปริมาณการใช้งานที่มีข้อจำกัดมากกว่า..

อ้างอิง :