สรุปเทคนิค “ทำ AEO” ให้เว็บไซต์เรา ติดคำตอบ AI คล้ายติดอันดับ SEO

สรุปเทคนิค “ทำ AEO” ให้เว็บไซต์เรา ติดคำตอบ AI คล้ายติดอันดับ SEO

30 พ.ค. 2025
นักการตลาดหลายคนน่าจะเคยได้ยินเรื่องของ “การทำ SEO” หรือการทำเว็บไซต์ของแบรนด์ให้ขึ้นไปติดอันดับแรก ๆ จากการค้นหาบน Google เพื่อให้ลูกค้าหาแบรนด์ของเราเจอง่าย ๆ
แต่ในช่วงหลัง ๆ ต้องยอมรับกันตามตรงว่าลูกค้ามีตัวเลือกในการเซิร์ชหาข้อมูลมากขึ้น
โดยเฉพาะการค้นหาข้อมูลผ่าน AI เช่น ChatGPT หรือ Gemini รวมไปถึงอีกหลาย ๆ เครื่องมือที่อาจจะง่าย และสะดวกกว่าการเซิร์ช Google แบบปกติ
หมายความว่า ถ้าอยากให้ลูกค้ารู้จัก และค้นหาแบรนด์ของเราเจอ ในยุคนี้การทำ SEO แค่อย่างเดียวอาจจะไม่พอแล้ว
นักการตลาดหลาย ๆ คน เลยเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการทำ “AEO” กันมากขึ้น
แล้ว AEO คืออะไร ? MarketThink จะอธิบาย พร้อมสรุปเทคนิคการทำมาให้แบบเข้าใจง่าย ๆ
- AEO ย่อมาจาก “Answer Engine Optimization”
อธิบายง่าย ๆ คือ การทำให้เว็บไซต์ หรือคอนเทนต์ของเรา มีโอกาสถูก AI หรือเครื่องมือค้นหารูปแบบใหม่ ๆ หยิบไปเป็นคำตอบมากขึ้น
ทำให้หลักการของ AEO จะมีส่วนคล้าย SEO อยู่หลายจุด เพราะทั้ง 2 เทคนิคจะเน้นไปที่การวางโครงสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนเจอคอนเทนต์ของเราให้ได้มากที่สุดเหมือนกัน
เมื่อรู้จัก AEO กันแล้ว ทีนี้ลองไปดูแนวทางการทำ AEO ให้ AI หยิบคอนเทนต์ของเราไปตอบกัน
ซึ่งต้องหมายเหตุก่อนว่า บทความนี้จะพูดถึงแค่ในส่วนของการทำเนื้อหาบนเว็บไซต์ตามหลัก AEO แบบง่าย ๆ เท่านั้น ไม่รวมถึงเรื่องหลังบ้าน เช่น การเขียนโคดที่อาจต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง
โดยหลัก ๆ แล้ว แนวทางการทำ AEO จะมีด้วยกัน 3 ข้อ ได้แก่
1. เนื้อหาควรจะต้องมีส่วนประกอบของ “คำถาม”
ก่อนจะมี AI คนเราชอบใช้ “Keyword” ในการค้นหาคำตอบที่ต้องการบน Google
แต่พอมี AI ที่สามารถตอบโต้กับเราได้เหมือนกำลังคุยกับมนุษย์จริง ๆ เกิดขึ้น พฤติกรรม “การค้นหา” ของผู้คนเลยเปลี่ยนไปด้วย
โดยผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คนมองว่า คำที่คนส่วนใหญ่ใช้คุยกับ AI จะมีความเป็น “คำถาม” มากกว่าคำที่ใช้หาข้อมูลบน Google
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเราต้องการหาร้านอาหารอร่อย ๆ ย่านบางนา
- ถ้าใช้ Google ผู้ใช้อาจจะค้นหา Keyword ว่า “ร้านอาหารแนะนำ บางนา” จากนั้นก็ค่อยเข้าไปหาคำตอบในเว็บไซต์ที่ Google แสดงผลขึ้นมา
- แต่ถ้าใช้ AI เช่น ChatGPT ผู้ใช้อาจจะมีแนวโน้มในการค้นหาข้อมูลด้วยคำพูดประมาณว่า “ช่วยแนะนำร้านอาหารย่านบางนาให้หน่อย” หรือ “ร้านอาหารแนะนำย่านบางนา มีที่ไหนบ้าง ?” ซึ่งดูเป็นเชิงคำถามมากกว่า
พอเป็นแบบนี้ ถ้าอ้างอิงจากหลักการทำงานของ AI หลาย ๆ ตัวที่จะมีการใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ มาเป็นส่วนหนึ่งในการประมวลผลเป็นคำตอบให้กับเรา
ก็หมายความว่าการทำเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาในส่วนของ “คำถาม”
ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่ตั้ง Headline หรือหัวข้อ ด้วยคำถามอย่าง “วิตามินบำรุงสมองตัวไหนดี ?” หรือ
“ที่เที่ยวแบบไป One Day Trip ได้ ใกล้กรุงเทพฯ มีที่ไหนบ้าง ?”
หรือคำถามอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับคำถามที่ผู้ใช้ถามกับ AI ก็จะมีโอกาสถูก AI เอาไปเป็นคำตอบได้มากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
2. คอนเทนต์ต้องมี “โครงสร้างชัด” อ่านแล้วรู้เรื่อง เข้าใจง่าย
คำตอบของ AI ส่วนใหญ่จะชอบมีโครงสร้างแบบเป็นข้อ ๆ เช่น เรียงคำตอบแบบ 1, 2, 3, 4,.. รวมถึงยังมีการใช้แยก Bullet (-) มาช่วยอธิบายแบบเป็นข้อ ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าถาม AI ว่าวิตามินบำรุงสมองมีอะไรบ้าง ?
คำตอบที่ได้ก็อาจจะมีโครงสร้างแบบนี้
1. วิตามิน B1
- ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ปกติ
2. วิตามิน B6
- ช่วยควบคุมอารมณ์และการนอนหลับให้สมดุล
3. วิตามิน B9
- จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ประสาทใหม่
ซึ่งตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คนก็มองว่า ถ้าทำโครงสร้างของเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เป็นแบบเดียวกับตัวอย่างข้างต้น
ก็คือเนื้อหามีความสั้น กระชับ และมีการแบ่งสัดส่วนเนื้อหาด้วยหัวเรื่องย่อย โดยใช้ตัวเลข และสัญลักษณ์
มาช่วยอธิบายข้อมูล ก็มีแนวโน้มที่ AI จะดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ของเราไปตอบคำถามได้ง่ายขึ้น
3. พยายามใช้ “ภาษาพูด” ให้ได้มากที่สุด
อย่างที่เล่าไปข้างต้นว่า เวลาที่เรา ถาม-ตอบ กับ AI ประโยคที่ใช้ก็มักจะเหมือน “พูดกับคน”
ดังนั้นถ้าหากทำเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้ใกล้เคียงกับ “ภาษาพูด” ก็อาจจะมีโอกาสที่ AI จะเจอคอนเทนต์ของเราได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน
สมมติว่า ถ้าทำคอนเทนต์บรรยายสรรพคุณของยาพาราเซตามอลบนเว็บไซต์
แทนที่จะเขียนเป็นบทความยาวที่มีช่วงเกริ่น, กลางเรื่อง และมีบทสรุปในภาษาทางการ เหมือนกับการทำ SEO ทั่ว ๆ ไป
ในการทำคอนเทนต์ AEO ก็อาจจะลดความยาว และลดความเป็นทางการของคำพูดลงมา และเขียนให้มีความเป็น “บทสนทนา” ที่มีส่วนประกอบของ “คำถาม-คำตอบ” มากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ตั้งชื่อหัวข้อประมาณว่า “ถ้าปวดหัวควรกินยาอะไร ?” ที่เป็นคำถาม
และในส่วนของเนื้อหา ซึ่งเป็นคำตอบ ก็อาจจะเป็น
“ถ้าปวดหัวเบา ๆ แนะนำให้ลองพาราเซตามอลขนาด 500 มก. หรือถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์”
เพื่อให้ภาพรวมของเนื้อหาเหมือนภาษาพูดนั่นเอง
อ่านมาถึงตรงนี้ สรุปสั้น ๆ อีกครั้ง การทำ AEO ก็คือ การทำให้ข้อมูลของเรามีโอกาสไปปรากฏในคำตอบของ AI ให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์
ซึ่งตรงนี้ก็น่าคิดตามเหมือนกันว่า ในเมื่อคนหันไปเซิร์ชผ่าน AI กันมากขึ้น
ก็อาจเป็นไปได้ว่า Traffic บนเว็บไซต์ อาจจะต้องลดลงแน่ ๆ เพราะคนสามารถอ่านคำตอบจาก AI ได้เลย ไม่จำเป็นต้องกดเข้าเว็บไซต์
ทำให้การทำ AEO อาจจะไม่ตอบโจทย์ในเรื่องของ “จำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์” ได้ดีเท่ากับเทคนิคอย่าง SEO ที่เน้นดึงคนเข้าเว็บไซต์ให้ได้เยอะ ๆ
ดังนั้นนักการตลาดก็ควรหาจุดกึ่งกลางระหว่างการทำ SEO และ AEO ให้ดี
โดยเทคนิคที่ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คนแนะนำ ก็คือการสร้างเนื้อหาในส่วนของ “Q&A” หรือ “FAQ” ที่จะมีส่วนของ “คำถามและคำตอบ” แยกส่วนกับคอนเทนต์ SEO บนเว็บไซต์
ก็อาจจะช่วยบาลานซ์ระหว่างเรื่องจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์ และโอกาสที่ AI จะดึงข้อมูลจากเราไปตอบได้นั่นเอง..
#AEO
#SEO
#การตลาด
_______________________
Tag:SEOAEO
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.