สรุปเทคนิค Source Code วิธีทำให้ AI พูดถึง “แบรนด์เรา” ในคำตอบ จาก ANGA

สรุปเทคนิค Source Code วิธีทำให้ AI พูดถึง “แบรนด์เรา” ในคำตอบ จาก ANGA

23 ก.ย. 2025
ในงาน MKT CON 2025 ที่เพิ่งจัดไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คุณรัชวิทย์ หวังพัฒนธน จาก ANGA Bangkok Agency ได้แชร์เทคนิคชื่อว่า “Source Code”
เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ AI ไม่ว่าจะเป็น AI Mode หรือ AI Overview ของ Google, ChatGPT, Gemini หรือ AI ตัวอื่น ๆ พูดถึงชื่อแบรนด์ของเรา เมื่อมีคนถามหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของเรา
แล้วเทคนิค Source Code คืออะไร ?
- ปัจจุบันการเซิร์ชข้อมูลผ่าน AI ได้ทำให้ Traffic ที่เข้าไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะ AI สามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง และครอบคลุมมากขึ้น ทำให้การใช้ AI ค้นหาข้อมูล จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งแบรนด์และธุรกิจต่าง ๆ ก็ต้องปรับตัวกันอีกครั้ง เพราะนอกจากจะต้องทำ SEO ให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับการค้นหาในหน้าแรกของ Google แล้ว
ก็ต้องทำให้ชื่อแบรนด์หรือธุรกิจของเรา ถูกกล่าวถึงหรืออ้างอิงโดย AI ด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้ลูกค้าและปิดยอดขายได้มากขึ้น
แต่ AI ส่วนใหญ่ มักจะหยิบยกชื่อแบรนด์มาพูดแค่ 3-5 ชื่อเท่านั้น
พื้นที่ตรงนี้ จึงเหมือน “ทำเลทอง” ที่ทุกแบรนด์ต่างก็ต้องแย่งชิงมาเป็นของตัวเองให้ได้
โจทย์ของแบรนด์และนักการตลาดเลยกลับมาที่ ต้องทำอย่างไร จึงจะได้ครอบครองพื้นที่ตรงนั้นได้ ?
ซึ่งทีม ANGA ได้สำรวจข้อมูลมากกว่า 100 เว็บไซต์ แล้วสรุปออกมาเป็นโมเดล “Source Code” หรือปัจจัยที่ทำให้ AI หยิบชื่อแบรนด์มากล่าวถึงทั้งหมด 6 ข้อ ได้แก่
1. S ย่อมาจาก Structured Data หรือ Schema Markup
คือ โคดที่ช่วยบอก AI ว่า ข้อมูลในแต่ละส่วนของเว็บไซต์คืออะไร ทำให้ AI เข้าใจเนื้อหาของเราได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ไม่ต้องตีความเอง ช่วยลดความผิดพลาด และทำให้ AI กล้านำข้อมูลไปใช้ตอบคำถามมากขึ้น
โดย Schema Markup ก็มีหลายรูปแบบ เช่น หน้าสินค้า, หน้าข้อมูลบุคคล, หน้าบทความ, หน้าข้อมูลธุรกิจ, หน้าบริการ, หน้าคำถามที่พบบ่อย
แต่ต้องหมายเหตุว่า ปัจจัยในข้อนี้นักการตลาดอาจจำเป็นต้องพึ่งพา Developer ให้ช่วยในขั้นตอนนี้
2. O ย่อมาจาก Original Content
คือ คอนเทนต์ ข้อมูล เนื้อหาต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นมาต้องมีข้อมูลเชิงลึก ตัวเลข สถิติ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่สั่งสมมาของแบรนด์จริง ๆ
เพื่อให้ข้อมูลจากเว็บไซต์ของเราเป็น Primary Source ที่มีความน่าเชื่อถือที่สุด และไม่ว่าใครก็ต้องมาอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลของเรา ซึ่งเป็นการสร้าง Authority ที่ดีที่สุด
โดยปัจจัยที่นำมาใช้ดูว่า คอนเทนต์ของเรามีความเป็น Original Content หรือไม่ อาจพิจารณาจาก
- เป็นข้อมูลต้นฉบับ ที่ไม่ได้ไปคัดลอกจากที่ไหน
- มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ?
- เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ ?
- มีคุณค่าต่อผู้อ่านหรือไม่ ? (เช่น ได้ความรู้, How-to, วิธีแก้ปัญหา, ข้อคิด)
- โชว์ประสบการณ์ที่หาจากที่อื่นไม่ได้
- ตอบคำถามคนได้ทุกจุด
- โชว์สถิติหรือข้อมูลเชิงลึก
3. U ย่อมาจาก User Experience
คือ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการดาวน์โหลดหน้าเว็บไซต์, โครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมิตร เข้าใจง่าย จัดลำดับเนื้อหาอย่างเป็นระบบ ไปจนถึงความง่ายในการใช้งาน
แล้วทำไมถึงต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ?
นั่นก็เพราะ ถ้า AI ดึงข้อมูลและแนะนำเว็บไซต์ไหนให้กับผู้ใช้งาน มันก็จะสะท้อนกลับมาถึงตัว AI ด้วยว่า AI มีความสามารถและน่าเชื่อถือจริงหรือไม่
ถ้า AI แนะนำเว็บไซต์ที่คุณภาพไม่ดี ก็จะส่งผลเสียต่อตัว AI เองด้วย
ดังนั้น AI จึงหลีกเลี่ยงการแนะนำเว็บไซต์ที่ไม่ได้คุณภาพ และไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานนั่นเอง
4. R ย่อมาจาก Reputation Footprint
คือ การสร้างความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของแบรนด์จากภายนอกเว็บไซต์
ซึ่ง AI ใช้หลักที่เรียกว่า “Corroboration Consensus” ในการตรวจสอบข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งว่า เรามีชื่อเสียงในแง่ดีและเป็นที่น่าเชื่อถือหรือไม่
ดังนั้น ใครที่อยากให้ AI พูดถึงเรา ก็ต้องพิสูจน์ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของตัวเองให้ได้ โดยมีด้วยกันหลายวิธี เช่น
- Backlink หรือการมีเว็บไซต์ภายนอกใส่ลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ของเราเอง
- PR/Advertorial หรือการถูกพูดถึงในสื่อต่าง ๆ หรือการประชาสัมพันธ์ เช่น การได้รับรางวัล
- Review หรือการได้รับรีวิวในแง่ดีจากผู้ใช้งานจริงบนโลกออนไลน์
- Social Media หรือการถูกพูดถึง การแท็ก การ Mention หรือมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์มโซเชียล
- การถูกอ้างอิงหรือกล่าวถึงโดยผู้เชี่ยวชาญ
5. C ย่อมาจาก Conversational Context
คือ การเข้าใจว่า AI ค้นหาข้อมูลและตอบคำถามเราได้อย่างไร ซึ่งปกติเราจะต้องสั่ง (Prompt) AI โดยการถามคำถามยาว ๆ
แต่กระบวนการหลังจากนั้น AI จะนำคำถามไปแยกโครงสร้าง ออกเป็นคำถามย่อย ๆ จากนั้นจึงไปหาข้อมูลในแต่ละประเด็นต่อ
เมื่อหาเสร็จแล้วก็เอาข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียงใหม่ แล้วนำมาตอบเรานั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น
Prompt : อยากพาลูกไปเที่ยวกาญจนบุรีสิ้นปี มีงบ 2,500 บาทต่อคืน เลี่ยงวันไปกลับรถติดให้ด้วยนะ
AI ก็จะเอา Prompt ข้างต้น ไปแยกออกเป็นประเด็นย่อย ๆ และหาคีย์เวิร์ดสำหรับค้นหาข้อมูล คือ
- หาข้อมูลวันหยุดสิ้นปี > Keyword : วันหยุดสิ้นปี 2568
- หาข้อมูลโรงแรมสำหรับครอบครัว > Keyword : โรงแรมสำหรับครอบครัว กาญจนบุรี
- หาข้อมูลราคาโรงแรม > Keyword : โรงแรมคืนละ 2,500 กาญจนบุรี
- หาข้อมูลการเดินทาง > Keyword : เส้นทางเลี่ยงรถติดปีใหม่ กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี
- หาข้อมูลโรงแรมที่เหมาะกับครอบครัว > Keyword : รีวิวโรงแรม กาญจนบุรี
- หาข้อมูลสำหรับครอบครัว > Keyword : กิจกรรมสำหรับครอบครัว กาญจนบุรี
ซึ่งใครที่อยากให้ AI พูดถึงแบรนด์ ก็ต้องเข้าใจเบื้องหลังการทำงานของ AI และปรับแต่งข้อมูลบนเว็บไซต์ให้มีความหลากหลายและครอบคลุมสิ่งที่ AI อาจต้องการให้ได้มากที่สุด
6. E ย่อมาจาก Entity
คือ การทำให้สินค้า แบรนด์ หรือบุคคลของเรา กลายเป็นสิ่งที่ AI รู้จัก และนิยามได้อย่างชัดเจนบนฐานข้อมูลของ AI
ตัวอย่างเช่น
ถ้าเราเป็นธนาคาร เราก็ต้องได้รับการรับรองจากสื่อ เว็บไซต์ หรือบุคคลอื่น ๆ ว่า เราเป็นธนาคารจริง ผ่านการรีวิว การถูกพูดถึงบนสื่อ การได้รับรางวัล หรือการเป็นพาร์ตเนอร์กับธุรกิจอื่น
รวมทั้ง การมีคีย์เวิร์ด ข้อมูล หรือคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นธนาคารจริง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ เช่น ความมั่งคั่ง, บ้าน, อนาคต, อิสรภาพทางการเงิน, คุ้มค่า, เพื่อคนมีรถ
ทั้งหมดนี้คือ องค์ประกอบ 6 ข้อตามทฤษฎีที่เรียกว่า “Source Code” ของ ANGA
ถ้าแบรนด์สามารถทำตามทั้ง 6 ข้อนี้ได้ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ AI พูดถึงแบรนด์ของเรา หรือเลือกชื่อแบรนด์ของเราไปตอบนั่นเอง
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.