
รวม 7 ไอเดีย สร้างกำแพงสูง ให้ธุรกิจ ไม่ต้องลงแข่ง ในสงครามราคา
19 มิ.ย. 2025
“อย่าแข่งสงครามราคา เพราะมันจะทำตลาดพัง”
หนึ่งในประโยคยอดฮิตจากซีรีส์เรื่อง สงคราม ส่งด่วน ที่นอกจากจะกลายเป็น Talk of the Town ในช่วงหนึ่งแล้ว ยังกลายเป็นประโยคที่ใช้ได้ ในการทำธุรกิจจริง
หนึ่งในประโยคยอดฮิตจากซีรีส์เรื่อง สงคราม ส่งด่วน ที่นอกจากจะกลายเป็น Talk of the Town ในช่วงหนึ่งแล้ว ยังกลายเป็นประโยคที่ใช้ได้ ในการทำธุรกิจจริง
อย่างล่าสุด ธุรกิจสุกี้ ที่ต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร จนสุดท้ายต้องหันมาใช้กลยุทธ์เลียนแบบโมเดลธุรกิจของอีกฝ่ายและลดราคาลงมาเพื่อแข่งขันกัน
แล้วถ้าธุรกิจของเรา ไม่อยากลดราคาสินค้าไปแข่งขันในสงครามราคา จะมีวิธีสู้กับคู่แข่งอย่างไรได้อีกบ้าง ?
1. สร้างแบรนด์ (Branding)
กลยุทธ์แรกสำหรับธุรกิจเริ่มต้นก็คือ การสร้างแบรนด์ หรือการสร้างเอกลักษณ์ขึ้นมาให้คนจดจำได้นั่นเอง
ซึ่งการสร้างแบรนด์ถึงแม้จะดูเป็นกลยุทธ์เบสิก ๆ แต่ก็สามารถทำให้แบรนด์หรือสินค้าของเราดูโดดเด่นออกมาจากสินค้าทั่วไปในตลาด และมีตัวตนขึ้นมาในสายตาลูกค้า ทำให้สามารถเพิ่มราคาขายสินค้าได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับสินค้าชนิดเดียวกันแต่ไม่มีแบรนด์
ยกตัวอย่างเช่น
ชาไทยทั่วไปในตลาดอาจจะราคาแก้วละ 30-50 บาท
แต่พอเป็นชาไทยแบรนด์ Karun ที่มีการใส่ Storytelling ให้กับแบรนด์ มีการยกระดับเมนูให้ดูหรูดูแพง ก็สามารถอัปราคาขึ้นมาได้เป็น 85 บาท
แต่พอเป็นชาไทยแบรนด์ Karun ที่มีการใส่ Storytelling ให้กับแบรนด์ มีการยกระดับเมนูให้ดูหรูดูแพง ก็สามารถอัปราคาขึ้นมาได้เป็น 85 บาท
2. เพิ่มคุณค่าให้กับสินค้า
บ่อยครั้งที่ผู้ประกอบการมักจะคิดถึงคุณค่าของสินค้าเพียงมิติเดียว เช่น ร้านอาหาร ต้องขายอาหาร, คาเฟ ต้องขายเครื่องดื่มและบรรยากาศ, โฮมสเตย์ ต้องเน้นให้บริการที่พัก
ทำให้สินค้าในตลาดเหมือน ๆ กันไปหมด จนลูกค้าไม่เห็นความแตกต่างของสินค้าอย่างชัดเจน เมื่อลูกค้าไม่เห็นถึงความแตกต่าง เป็นเหตุผลให้ลูกค้าเลือกแบรนด์หรือบริการที่มีราคาถูกกว่า
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า ลูกค้าจะชอบซื้อของถูกก็จริง แต่บางครั้งลูกค้าก็พร้อมจะจ่ายแพงขึ้น ถ้าสินค้านั้นมีคุณค่า (Value) เพิ่มขึ้น และมองว่าราคานั้นสมเหตุสมผลแล้วกับคุณค่าที่พวกเขาได้รับ
ดังนั้น การเพิ่มคุณค่าเชิงใช้สอยอื่น ๆ และคุณค่าเชิงอารมณ์เข้าไป จะช่วยให้ธุรกิจขายสินค้าได้แพงขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจอาหาร อาจไม่ได้เน้นแค่ว่า ขายอาหาร แต่ต้องเน้นการเพิ่มคุณค่าเข้าไปให้มากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการเพิ่มเมนูที่ใช้สมุนไพรไทย, เมนูเสริมโปรตีน, เมนูลดน้ำหนัก หรือเมนูมังสวิรัติ เข้ามาเพิ่มเติม
อย่างกรณีของ ทองสมิทธิ์ มีการยกระดับเมนูอาหารไทยแบบเดิม ๆ อย่างก๋วยเตี๋ยวเรือ ให้ดูพรีเมียมมากขึ้น
โดยวางคอนเซ็ปต์เป็น “ก๋วยเตี๋ยวเรือ ที่อร่อยโดยไม่ต้องปรุง” มีความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน เช่น การใช้เนื้อวากิว ที่นำเข้าแบบคัดชิ้นจากออสเตรเลีย และน้ำซุปที่เคี่ยวนานถึง 8 ชั่วโมง
3. หาตำแหน่งของแบรนด์ (Brand Positioning)
การสร้างแบรนด์ไม่ใช่แค่คิดชื่อและโลโกเท่านั้น แต่ต้องวางตำแหน่งของแบรนด์ หรือค้นหาคุณค่าที่โดดเด่นแตกต่างจากคนอื่นในตลาดอีกด้วย
ซึ่งปกติแล้วการวางตำแหน่งแบรนด์จะค้นหาจากคำถามที่ว่า ลูกค้าต้องการอะไร, จุดแข็งของแบรนด์เราคืออะไร และจุดแข็งของแบรนด์คู่แข่งคืออะไร
จากนั้นก็นำสิ่งที่เป็นจุดแข็งของเราที่ลูกค้าต้องการและคู่แข่งไม่มี มาคัดเลือกเพื่อหาว่าคุณค่าข้อไหนที่เหมาะจะนำมาใช้เป็นตำแหน่งของแบรนด์ในตลาด
ตัวอย่างเช่น
ตำแหน่งของแบรนด์ Starbucks คือ แบรนด์กาแฟและเครื่องดื่มพรีเมียม ที่มีพื้นที่และ WiFi ให้คนเข้าไปนั่งทำงานได้ บรรยากาศและการบริการมีความเป็นกันเอง และนิยามตัวเองว่า “บ้านหลังที่สาม”
4. หาตลาดเฉพาะ (Niche Market)
บางครั้งการแข่งขันในตลาดแมสก็เป็นสิ่งที่ยากสำหรับธุรกิจน้องใหม่ หรือแม้แต่กับธุรกิจเก่าแก่ที่มีแบรนด์แข็ง ๆ ก็ตาม
การมองหากลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ในตลาดเฉพาะที่มีขนาดเล็กลง แต่การแข่งขันยังไม่สูง และสามารถตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ได้แทน จึงเป็นวิธีที่ดีเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ผ่านมาเทรนด์รักสุขภาพกำลังมาแรง ธุรกิจอาหารอย่าง “โอ้กะจู๋” ก็กำหนดลูกค้ากลุ่มที่รักสุขภาพ และต้องการทานผักสลัดแบบออร์แกนิก เป็นกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ
5. พัฒนาจุดแข็งของตัวเองให้ดีมากขึ้น
ถ้าธุรกิจมี Position และฐานลูกค้าที่ชัดเจนอยู่แล้ว บางครั้งการพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองให้มีคุณภาพดีอย่างสม่ำเสมอ และปรับปรุงให้ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดีเช่นกัน
เพราะการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ จำเป็นต้องใช้งบการตลาดจำนวนมากกว่าการรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่แล้ว
ตัวอย่างเช่น Apple มี Brand Position และฐานลูกค้าชัดเจนอยู่แล้ว จึงไม่ได้แตกไลน์สินค้าสมาร์ตโฟนมากเกินไป แต่เน้นไปที่การรักษาภาพลักษณ์และคุณภาพของแบรนด์ให้สม่ำเสมอ
6. ใช้กิจกรรมส่งเสริมการขายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การลดราคา
ข้อเสียของการใช้กลยุทธ์ลดราคา เพื่อดึงดูดใจลูกค้า ก็คือ ลูกค้าอาจคิดว่าสินค้ามีต้นทุนต่ำ แบรนด์เลยลดราคาขายสินค้าลงได้อีก ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามองสินค้านั้นมีคุณค่าลดลงตามราคาขายที่ลดลงไปด้วย
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง สินค้าอาจจะไม่ได้มีต้นทุนต่ำ แต่ที่ต้องลดราคาสินค้าลง เพราะธุรกิจต้องการดึงดูดลูกค้าให้ลองใช้สินค้า และขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น ถ้าต้องการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ก็อาจจะเลือกทำแคมเปญที่ลูกค้ามองว่า สิ่งที่ได้รับนั้นคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแทนการลดราคา เช่น การเพิ่มปริมาณสินค้า, การให้ของแถม, การให้สิทธิพิเศษเพิ่มเติม
ตัวอย่างเช่น The Pizza Company จัดแคมเปญ ซื้อพิซซา 1 ถาด แถมฟรีอีก 1 ถาด จะทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าที่ได้ซื้อมากกว่าการจัดโปรลดราคา 50%
7. สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและ Community ให้แข็งแรง
การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวด้วย Loyalty Program เช่น การสะสมแต้ม หรือระบบสมาชิก จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าซ้ำ ๆ ได้
และลดการพึ่งพาแคมเปญลด แลก แจก แถม เพื่อดึงให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าซ้ำ
นอกจากนี้ การสร้าง Community ให้แข็งแรง ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าได้ ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้น และอาจช่วยสร้าง User Generated Content หรือ UGC ได้อีกด้วย
ซึ่งการสร้าง Community ก็ทำได้หลายวิธี เช่น สร้างกลุ่มแชตในโซเชียลมีเดีย, ทำ LINE OA, สร้าง Facebook Group, จัดอิเวนต์, จัด Workshop, จัดงาน Meeting
Tag:สงครามราคา