
ไอเดีย ทำคอนเทนต์ ให้ติด "ผลการค้นหา 10 แบบ" ของ Google โดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อโฆษณา พร้อมอธิบายวิธีให้ทำตามในคอมเมนต์
14 ต.ค. 2025
0. รู้ไหมว่า ทุกวันนี้ถ้าเราค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บน Google เราจะเจอผลลัพธ์จากการค้นหามากกว่า 10 รูปแบบ
เพราะในแต่ละครั้งที่เราค้นหาข้อมูลบน Google เราจะเจอกับสิ่งที่เรียกว่า “SERP” (ย่อมาจาก Search Engine Results Page) ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามรูปแบบของคำถามที่เราค้นหา ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราถามว่า “อากาศวันนี้เป็นอย่างไร ?” หรือ “ช่วยแนะนำร้านอาหารอร่อย ๆ แถวบางนาให้หน่อย” คำตอบที่ได้ก็จะถูกแสดงผลในรูปแบบที่แตกต่างกัน
ซึ่งแน่นอนว่า ผลลัพธ์การค้นหาที่แตกต่างกัน ย่อมส่งผลต่อการทำการตลาดของแบรนด์ เพราะวิธีการที่ลูกค้าจะเจอแบรนด์ ก็จะแตกต่างกันไปด้วย
ปัจจุบันรูปแบบของผลการค้นหา (SERP) ของ Google ที่สำคัญ ๆ และมีโอกาสทำให้เว็บไซต์ของเราไปปรากฏอยู่บนหน้าแรกของ Google ได้ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา
____________________________________
1. 10 Blue Links
เป็นการแสดงคำตอบแบบพื้นฐานของ Google มีลักษณะเป็นลิงก์เว็บไซต์สีน้ำเงิน จำนวน 10 ลิงก์ ที่แสดงผลเป็น ชื่อหน้าเว็บไซต์, คำอธิบายต่าง ๆ และ URL ของเว็บไซต์ เรียงลำดับกันไปเรื่อย ๆ
ที่น่าสนใจคือ เว็บไซต์ที่ปรากฏใน SERP รูปแบบนี้ จะเป็นเว็บไซต์แบบออร์แกนิก
ซึ่ง Google จะเลือกเว็บไซต์ที่นำมาแสดงให้เราดู “ตามเกณฑ์ของ SEO” หมายความว่า ยิ่งเว็บไซต์ไหนทำ SEO เก่ง ก็จะยิ่งมีโอกาสไปปรากฏบนผลการค้นหาในอันดับต้น ๆ

____________________________________
2. Featured Snippets
เป็นการแสดงผลลัพธ์ แบบกล่องคำตอบเล็ก ๆ โดย Google จะดึงข้อมูลบางส่วนของเว็บไซต์ มาตอบให้เราในรูปแบบของพารากราฟสั้น ๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถรู้ข้อมูลได้โดยไม่ต้องกดเข้าไปในเว็บไซต์
ที่น่าสนใจคือ Featured Snippets มักถูกนำมาแสดงผลที่ “ด้านบนสุด” ของ SERP ทำให้ในช่วงหลังหลายแบรนด์ให้ความสนใจกับผลการค้นหาในรูปแบบนี้มากขึ้น

____________________________________
3. AI Overviews
เป็นกล่องข้อความเล็ก ๆ ที่ตอบโดย AI พร้อมลิงก์อ้างอิงของข้อมูล และมักถูกจัดให้อยู่ด้านบนสุดของ SERP เหนือคำตอบรูปแบบอื่น ๆ
โดยคำตอบที่ได้จะมาในรูปแบบคำตอบ “เชิงวิเคราะห์” จาก Gemini ซึ่งเป็น Generative AI ของ Google เอง

____________________________________
4. Local Pack
เป็นกล่องข้อมูลแสดงรายชื่อของ “ธุรกิจ” เช่น ร้านอาหาร, อู่ซ่อมรถ, ร้านนวดสปา หรือธุรกิจประเภทอื่น ๆ มักถูกแสดงอยู่ที่ด้านบนสุดของ SERP เช่นเดียวกัน
ซึ่งในกล่อง Local Pack นี้ จะมีรายละเอียดต่าง ๆ เช่น คะแนนรีวิวจากผู้ใช้คนอื่น, ราคาของสินค้า รวมไปถึงตำแหน่งที่ตั้งของธุรกิจด้วย
ที่น่าสนใจคือ SERP ในรูปแบบนี้ มักแสดงผลให้เห็นบ่อย ๆ ถ้าผู้ใช้เซิร์ชคำค้นหาเกี่ยวกับสถานที่ อย่างเช่น คำว่า “ร้านอาหารใกล้ฉัน” หรือ “ร้านอาหารบางนา”
____________________________________
5. People Also Ask
มีลักษณะเป็นกล่องข้อมูลเล็ก ๆ ที่จะแสดงคำถามคล้ายกับ คำถามที่เรากำลังค้นหาอยู่
เช่น ถ้าเราถามว่า “การวิ่งเบิร์นได้กี่แคล ?” Google อาจแสดงช่อง People Also Ask ออกมาเป็น คำถามที่ว่า “วิ่งได้กล้ามเนื้อส่วนไหน ?”
และถ้าเรากดเข้าไปก็จะเห็นคำตอบสั้น ๆ ที่ Google ดึงมาจากเว็บไซต์ หรือคำตอบสั้น ๆ ที่วิเคราะห์โดย Gemini แล้วแต่กรณี
อย่างไรก็ดี SERP แบบนี้มักจะถูกแสดงผลในส่วน “ตรงกลาง” ของผลการค้นหา ทำให้หลายคนอาจยังไม่ค่อยพูดถึง SERP ในรูปแบบนี้มากนัก

____________________________________
6. Rich Snippets
เป็นกล่องข้อมูลเล็ก ๆ คล้าย Featured Snippets แต่จะให้คำตอบที่ละเอียดกว่า เช่น จำนวนรีวิว, ราคาสินค้า หรือรูปภาพประกอบต่าง ๆ
โดย SERP รูปแบบนี้มักจะปรากฏขึ้น ในกรณีที่ผู้ใช้ถามรายละเอียดในเรื่องที่อยากรู้ และมักจะอยู่ในตำแหน่งบนสุดของผลการค้นหา
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราถามว่า “ราคาตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น” Google มีโอกาสแสดงผลเป็น Rich Snippets ที่มีส่วนประกอบของ ราคาตั๋ว, ระยะเวลาในการบิน และรายละเอียดอื่น ๆ ให้เห็น

____________________________________
7. Discussions and Forums
เป็นกล่องแสดงข้อมูลที่ Google ดึงมาจากเว็บไซต์ ที่มีความเป็น “บทสนทนา” เช่น เว็บบอร์ดอย่าง Reddit หรือ Pantip มาแสดงให้ผู้ใช้เห็น

____________________________________
8. Image Packs
เป็น SERP ที่จะแสดง “รูปภาพ” ที่ Google คิดว่าเกี่ยวข้องกับคำที่ผู้ใช้กำลังค้นหาอยู่ และมักปรากฏอยู่ตำแหน่งบน ๆ ของ SERP
โดย SERP รูปแบบนี้มักจะเห็นได้บ่อย ๆ ถ้าผู้ใช้ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว, ร้านอาหาร หรือสินค้าต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยรูปภาพในการสื่อสาร

____________________________________
9. Knowledge Panels
เป็นกล่องข้อมูลที่จะปรากฏร่วมกับ SERP ในรูปแบบอื่น ๆ ที่ด้านขวา โดยในกล่องจะแสดงคำตอบของผู้ใช้แบบละเอียดพร้อมแหล่งที่มาอ้างอิง
โดยส่วนใหญ่แล้ว SERP แบบนี้จะปรากฏขึ้น เวลาที่ผู้ใช้เซิร์ชหาข้อมูลในรูปของ “ประโยคคำถาม” เช่น “4Ps Marketing Mix คืออะไร ?”

____________________________________
10. Video Carousels
เป็นการแสดงชุดวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาคล้ายกับ Image Packs ซึ่ง SERP ในรูปแบบนี้จะมีการแสดงผลทั้งแนวตั้งและแนวนอน แล้วแต่ว่าเปิดในอุปกรณ์ชนิดใด

_____________________________________
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ต้องบอกก่อนว่า จริง ๆ แล้ว Google ยังมี SERP อีกหลายแบบที่อาจจะยังไม่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ เช่น SERP แบบ News ที่จะแสดงข่าวสารล่าสุดจากแหล่งที่มาต่าง ๆ
แต่จาก SERP ที่ยกตัวอย่างมา หลายคนก็น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่าทุกวันนี้ การค้นหาบน Google ไม่ได้มีเพียงคำตอบ ที่เป็นลิงก์ของเว็บไซต์เรียงติด ๆ กันเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
คำถามคือ แล้วเราจะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ Google ดึงข้อมูลของเราไปแสดงผล ? บน SERP ในรูปแบบต่าง ๆ
ต้องบอกว่าในปัจจุบัน มี 3 เทคนิคหลัก ๆ ที่คนนิยมใช้ปรับปรุงคอนเทนต์ของตัวเองให้ Google หยิบไปใช้ตาม SERP ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่
1. SEO (Search Engine Optimization)
เป็นเทคนิคพื้นฐานที่รู้จักกันมาอย่างยาวนาน ให้ความสำคัญกับ “Keywords” ที่คิดว่าลูกค้าจะใช้ในการค้นหา เพื่อให้ Google นำคอนเทนต์ของเว็บไซต์ไปแสดง
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมย่านทองหล่อ ให้เราวิเคราะห์ว่าลูกค้าจะใช้ Keywords อะไรในการค้นหาคอนโดมิเนียม ?
เช่น ถ้าเราคิดว่า “คอนโดทองหล่อ” คือ Keywords ที่ลูกค้าจะใช้ในการค้นหา ก็ให้เอาคำตรงนี้ไปใส่ในเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราหลาย ๆ จุด เพื่อเพิ่มโอกาสให้ Google นำเนื้อหาของเราไปแสดงบน SERP
โดยข้อมูลจากหลายแหล่งบอกตรงกันว่า เทคนิคการทำ SEO จะเหมาะมาก ๆ สำหรับแบรนด์ที่อยากให้เว็บไซต์ติดอันดับ SERP แบบ “10 Blue Links”
หรือลิงก์ของเว็บไซต์ 10 อันดับแรก ที่ Google หยิบมาแสดงในผลการค้นหานั่นเอง..
____________________________________
2. AEO (Answer Engine Optimization)
เป็นเทคนิคที่เกิดจากแนวคิดที่ว่า พฤติกรรมในการค้นหาบน Google ของผู้ใช้จะมีความเป็น “คำถาม” มากกว่า “Keywords”
เช่น ถ้าผู้ใช้อยากค้นหาร้านอาหารย่านบางนา ลูกค้าอาจจะถาม Google ว่า “ไปบางนากินอะไรดี” แทนที่จะเป็น “ของกินบางนา”
เทคนิคการทำ AEO จึงเน้นไปที่การปรับโครงสร้างของคอนเทนต์ให้มีโครงสร้างเป็น “คำถาม” และ “คำตอบ”
ที่สำคัญคือ คอนเทนต์ต้องมีความเป็น “ภาษาพูด” เหมือนที่คนใช้ถามกับ Google ให้ได้มากที่สุด
เพื่อให้คอนเทนต์ของเรามีโอกาสติด SERP แบบ Featured Snippets หรือ AI Overviews ที่ส่วนใหญ่จะแสดงผล ในกรณีที่ผู้ใช้เซิร์ชหาข้อมูลด้วยคำถามนั่นเอง
____________________________________
3. Local SEO
เป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Google My Business ซึ่งเป็นฟีเชอร์สำหรับธุรกิจโดยตรงของ Google
สำหรับหลักการคร่าว ๆ ของ Local SEO จะคล้ายกับ SEO คือการนำ Keywords ที่คิดว่าผู้ใช้จะใช้ค้นหามาใส่ในเนื้อหาของเรา
แต่หลักการของ Local SEO จะต่างกันตรงที่ จะมีการเพิ่มความยาวของ Keywords ให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราทำธุรกิจร้านขายยา คำว่า “ร้านขายยา” อาจจะเป็น Keywords ที่คนใช้ค้นหา แต่ถ้าเราทำ Local SEO เราอาจจะเพิ่มความยาวของ Keywords ให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นได้
เช่น ร้านขายยา + ชื่อย่าน กลายเป็น “ร้านขายยา ลาดพร้าว”, “ร้านขายยา แถวบางนา” หรือ “ร้านขายยา ศาลาแดง”
ซึ่งการทำ Local SEO แบบนี้จะเหมาะมาก ๆ สำหรับ SERP แบบ Local Pack ที่มักจะแสดงผลตอนที่ผู้ใช้เซิร์ชคำค้นหาเกี่ยวกับสถานที่
อย่างคำว่า “ร้านอาหารใกล้ฉัน” หรือ “ร้านอาหารบางนา” นั่นเอง..
____________________________________
สุดท้ายนี้ ต้องหมายเหตุไว้ก่อนว่าไอเดียการทำเว็บไซต์ให้ติดผลการค้นหาของ Google ที่ได้หยิบยกมาเป็นเพียงตัวอย่างแบบคร่าว ๆ เพื่อเป็นไอเดียสำหรับนักการตลาดให้ทำตามแบบง่าย ๆ
แต่จริง ๆ แล้ว การทำให้เว็บไซต์หรือคอนเทนต์ของแบรนด์ ติดผลการค้นหาของ Google ยังมีรายละเอียดหลังบ้านอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งส่งผลต่อการเลือกแสดงผลการค้นหาของ Google เช่นเดียวกัน
Tag:Google