
อธิบาย เฟรมเวิร์ก S-L-A-P เทคนิคทำคอนเทนต์ ให้คนหยุดดู ตั้งแต่วินาทีแรก
3 ก.ย. 2025
รู้หรือไม่ว่า ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง เราจะเห็นโฆษณาทุกรูปแบบ ทั้งโฆษณาออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10,000 ตัวต่อวัน
การทำ Content Marketing ไม่ว่าจะเป็น ข้อความ รูปภาพ หรือคลิปวิดีโอ จึงมีความสำคัญ เพราะกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการ พร้อมปัดนิ้วเลื่อนผ่านโพสต์ของแบรนด์ ภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
แต่หากแบรนด์ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีนี้ ทำให้กลุ่มเป้าหมายหยุดดู และสนใจโพสต์ของแบรนด์ ก็จะทำให้แบรนด์ได้เปรียบ และมีโอกาสขายของให้กับกลุ่มเป้าหมายได้
ซึ่งหนึ่งในวิธีที่จะทำให้คนหยุดดู และสนใจโพสต์ของแบรนด์นั้น ก็คือการทำคอนเทนต์ตาม S-L-A-P Storytelling Framework
แล้ว S-L-A-P Storytelling Framework คืออะไร ?
S-L-A-P Storytelling Framework คือเฟรมเวิร์กที่ใช้ในการวางโครงเรื่องของคอนเทนต์ประเภทต่าง ๆ ใช้ได้ทั้งงานเขียน และคลิปวิดีโอ
โดย S-L-A-P Storytelling Framework จะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. S : Stop (หยุดอ่าน หรือหยุดดู)
ขั้นตอนแรกของการวางโครงเรื่องตาม S-L-A-P Storytelling Framework คือการทำอย่างไรก็ได้ให้คนหยุดและสนใจคอนเทนต์ของเราเป็นอย่างแรก ท่ามกลางโพสต์ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีจำนวนมหาศาล
สิ่งที่ทำได้คือ การแย่งชิงความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายที่อยู่บนแพลตฟอร์มโซเชียล ให้หันมาสนใจสิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสารให้ได้
เช่น การเลือกใช้พาดหัว แคปชัน หรือข้อความแรก ๆ ของคลิปวิดีโอ ให้น่าดึงดูด กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายหยุดอ่าน หรือหยุดดู
หรือจะใช้การออกแบบกราฟิกที่สวยงาม เป็นตัวดึงดูดแทนแคปชันก็ได้เช่นกัน
โดยตัวอย่างของการวางโครงเรื่อง ที่ช่วยให้คนสนใจตั้งแต่วินาทีแรก เช่น
- ใช้หลักการ FOMO (Fear of Missing Out) เล่นกับความกลัวตกกระแส หรือพลาดเทรนด์ของคน ในการเขียน
เช่น การเลือกใช้ประโยค เช่น “ห้ามพลาด”, “อย่าเพิ่งเลื่อนผ่านคลิปนี้.. ถ้าไม่อยากตกเทรนด์” หรือ “ใครที่กำลังเจอเรื่อง xxx อยู่ อย่าเพิ่งเลื่อนผ่าน เดี๋ยวเราจะบอกวิธีในโพสต์นี้”
- เล่นกับความสงสัยของกลุ่มเป้าหมาย
เช่น “ใครยังทำสิ่งนี้อยู่หยุดทำเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากให้สมาร์ตโฟนพัง” หรือ “นี่หรือคือร้านสุกี้ในตำนานที่ใคร ๆ ก็พูดถึง” จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายสงสัย และหยุดอ่าน หรือดูคอนเทนต์ของเราได้
- บอกทันทีว่าคอนเทนต์ของเราให้ประโยชน์อะไร
เช่น “แจก 10 เทคนิค ทำ SEO ให้ชื่อแบรนด์ ติด Rank อันดับ 1 บน Google” หรือ “สรุป 7 ข้อ ทำการตลาดแบบ David Ogilvy นักการตลาดในตำนาน”
ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในด้านนี้ หยุดดูคอนเทนต์ของแบรนด์แทบจะทันที เพราะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง
2. L : Look (มอง / พิจารณา)
หลังจากที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายสนใจคอนเทนต์ในช่วงต้นได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้กลุ่มเป้าหมาย อ่านหรือดูคอนเทนต์ ในส่วนของเนื้อหาหลักต่อไป ไม่หยุดกลางคัน
และเริ่มพิจารณาถึงสินค้า บริการ หรือการสื่อสารที่แบรนด์ต้องการอย่างจริงจัง
ในขั้นตอนนี้ พาดหัวหรือช่วงต้นของคลิปวิดีโอ จะไม่ได้มีผลต่อความสนใจที่กลุ่มเป้าหมายมีให้คอนเทนต์อีกต่อไป
ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ในขั้นตอนนี้ ก็คือการทำให้เนื้อหาในส่วนหลักสั้น กระชับ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ควรบอกรายละเอียดของสินค้า หรือบริการที่แบรนด์ต้องการขายอย่างครบถ้วน
เช่น การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย แล้วค่อยบอกถึงคุณสมบัติของสินค้า ข้อดี จุดเด่น ประโยชน์ที่จะได้รับ
หรือสินค้าจะช่วยแก้ Pain Point ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร เพื่อเป็นการสร้างเหตุผลให้กลุ่มเป้าหมายเก็บไว้ตัดสินใจซื้อ
โดยต้องพยายามกำหนดเนื้อหาให้เชื่อมต่อจากขั้นตอนแรกของ S-L-A-P Storytelling Framework อย่างแนบเนียน
ตัวอย่างเช่น
หากเรากำหนดพาดหัวของคอนเทนต์ไปแล้วว่า “แจก 10 เทคนิค ทำ SEO ให้ชื่อแบรนด์ ติด Rank อันดับ 1 บน Google”
สิ่งที่เราต้องทำในคอนเทนต์ส่วนนี้คือ การแจก 10 เทคนิคการทำ SEO ตามที่ได้ระบุไว้ในเนื้อหา อย่างครบถ้วน
แล้วจึงตามด้วยการขายสินค้าตามที่แบรนด์ต้องการ ซึ่งในที่นี้ก็คือ บริการให้คำปรึกษาด้าน SEO พร้อมทั้งระบุถึงข้อดี ประโยชน์ที่จะได้รับ และความจำเป็นของการทำ SEO
หรือหากสินค้าของเราเป็นแก้วน้ำเก็บความเย็น คอนเทนต์ในส่วนนี้อาจเป็น การทำคลิปวิดีโอสั้น
ที่แสดงให้เห็นถึงการนำแก้วน้ำเก็บความเย็นไปใส่ไว้ในรถยนต์ที่จอดตากแดด แล้วพิสูจน์ให้เห็นชัด ๆ เลยว่าแก้วน้ำเก็บความเย็น สามารถเก็บความเย็นไว้ได้จริง
3. A : Act (ลงมือทำ)
หลังจากที่กลุ่มเป้าหมายสนใจคอนเทนต์ในส่วนหลักของเราแล้ว ขั้นตอนถัดมาเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำตามที่แบรนด์ต้องการ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า Call to Action นั่นเอง
ซึ่งสิ่งที่กระตุ้น Call to Action ได้ ก็อย่างเช่น
- การบอกให้กลุ่มเป้าหมาย กดลิงก์ลงทะเบียนความสนใจ
- ลงทะเบียนรับข่าวสาร
- คอมเมนต์เพื่อรับส่วนลดพิเศษ
- การบอกให้กลุ่มเป้าหมาย กดดูสินค้าที่อยู่ในตะกร้าที่ปักไว้
- ลงทะเบียนรับข่าวสาร
- คอมเมนต์เพื่อรับส่วนลดพิเศษ
- การบอกให้กลุ่มเป้าหมาย กดดูสินค้าที่อยู่ในตะกร้าที่ปักไว้
โดยแบรนด์สามารถใช้เทคนิคอื่น ๆ ร่วมด้วยในขั้นตอนนี้ เช่น Scarcity Marketing ที่ใช้ความขาดแคลน กระตุ้นให้เกิดการกระทำ ตามที่แบรนด์ต้องการ
4. P : Purchase (ตัดสินใจซื้อ)
และในขั้นตอนสุดท้าย เป็นขั้นตอนในการทำให้เกิดการซื้อสินค้า จากคอนเทนต์ของเรา
มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นการตัดสินว่า คอนเทนต์ที่เราทำนั้นประสบความสำเร็จ ในการสร้างยอดขายหรือไม่
สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ การลดความลังเลของลูกค้า ที่อาจเกิดขึ้นก่อนการตัดสินใจซื้อ ซึ่งทำได้หลายวิธี
ตัวอย่างเช่น
- การระบุถึงการรับประกันสินค้า หากสินค้าเสียหาย เปลี่ยนใหม่ได้เลย
- การระบุถึงการสั่งซื้อที่ง่าย เช่น ส่งฟรี มีเก็บเงินปลายทาง
- การระบุถึงรีวิวของลูกค้าที่เคยซื้อไปแล้ว มีความประทับใจอย่างไร
ทั้งหมดนี้ คือ 4 ขั้นตอนของ S-L-A-P Storytelling Framework ที่หากสรุปอีกครั้งแบบง่าย ๆ การทำคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็น ข้อความ รูปภาพ หรือคลิปวิดีโอ ให้กลุ่มเป้าหมายสนใจ
ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้กลุ่มเป้าหมายหยุดเพื่ออ่าน หรือดูคอนเทนต์ก่อน ในเสี้ยววินาทีแรก
แล้วค่อย ๆ มอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ ให้กลุ่มเป้าหมายอ่านต่อ ไปพร้อมกับการขายสินค้า แล้วจึงกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมาย ตัดสินใจซื้อในที่สุด
แล้วค่อย ๆ มอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ ให้กลุ่มเป้าหมายอ่านต่อ ไปพร้อมกับการขายสินค้า แล้วจึงกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมาย ตัดสินใจซื้อในที่สุด