
อะไรบ้าง ที่ทำให้ แบรนด์ดู “พรีเมียม” ราคาสูง แต่ลูกค้ายอมจ่าย พร้อมตัวอย่างจากแบรนด์ดัง ๆ
9 ก.ย. 2025
ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมเราถึงมีมุมมองต่อแบรนด์เหล่านี้ ว่าเป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์พรีเมียม ?
- แบรนด์เทคโนโลยี เช่น Apple, Dyson, Devialet
- แบรนด์เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เช่น Hermès, Dior, Louis Vuitton
- แบรนด์ของกินอย่าง ร้านอาหารต่าง ๆ ในเครือโรงแรม 5 ดาว หรือร้านโอมากาเสะ
- แบรนด์เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เช่น Hermès, Dior, Louis Vuitton
- แบรนด์ของกินอย่าง ร้านอาหารต่าง ๆ ในเครือโรงแรม 5 ดาว หรือร้านโอมากาเสะ
หากสังเกตให้ดี จะพบว่า แต่ละแบรนด์มีความพิเศษบางอย่างให้นึกถึงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในด้านนวัตกรรม การบริการ รวมไปถึงการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์
แล้วอะไรที่ทำให้แบรนด์เหล่านี้ดูพรีเมียม ?
1. แบรนด์ต้องมีเอกลักษณ์ที่ทำให้ใคร ๆ ก็นึกถึง (Uniqueness)
พูดง่าย ๆ ก็คือ แค่พูดชื่อแบรนด์ออกมา คนก็จะนึกถึงสินค้า หรือสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ตามขึ้นมาทันที
ยกตัวอย่างเช่น
- นึกถึง Apple สิ่งที่ตามมาก็คือ ระบบปฏิบัติการ iOS และโลโกรูปแอปเปิลที่มีรอยแหว่ง
- นึกถึง Louis Vuitton สิ่งที่ตามมาก็คือ ความหรูหราของอักษร LV ไขว้ และลายโมโนแกรม
- นึกถึง Apple สิ่งที่ตามมาก็คือ ระบบปฏิบัติการ iOS และโลโกรูปแอปเปิลที่มีรอยแหว่ง
- นึกถึง Louis Vuitton สิ่งที่ตามมาก็คือ ความหรูหราของอักษร LV ไขว้ และลายโมโนแกรม
ที่สำคัญ แบรนด์ต้องจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์ของสินค้าให้ครบ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้แบรนด์อื่นเลียนแบบได้ง่าย ๆ
2. ใช้แหล่งที่มาของสินค้า และบริการ (Source of Origin) ยกระดับภาพลักษณ์ให้แบรนด์
ลองนึกภาพว่า หากเราเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วเจอเมนูทำจากเนื้อวัวเขียนกำกับไว้ว่า “นำเข้าจากออสเตรเลีย” เพียงแค่ประโยคเดียวก็สามารถยกระดับคุณภาพของวัตถุดิบให้ดูพรีเมียมขึ้นได้
พูดง่าย ๆ ก็คือ แบรนด์พรีเมียมควรมีขั้นตอนการทำ หรือวัตถุดิบบางอย่าง ที่ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ และคุณภาพของแบรนด์ให้ดูแตกต่างจากแบรนด์ทั่วไปได้
ยกตัวอย่างเช่น
ร้านอาหารโอมากาเสะ มักจะบอกแหล่งที่มาของวัตถุดิบแต่ละคำอยู่เสมอว่ามาจากแหล่งไหน มีขั้นตอนการทำอย่างไร
ซึ่งนอกจากจะทำให้ร้านดูพรีเมียมขึ้นแล้ว ยังช่วยทำให้ลูกค้ามองเห็นคุณค่า และความตั้งใจจากร้านที่ส่งต่อถึงลูกค้าได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
3. สินค้ามีนวัตกรรมโดดเด่น (Innovation)
อีกหนึ่งเรื่องที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูพรีเมียม ดูแพงได้ นั่นคือการสร้างนวัตกรรมสินค้า ให้มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่งอื่น ๆ ในตลาดเดียวกัน
ลองคิดภาพตามง่าย ๆ แบรนด์พรีเมียมด้านเทคโนโลยีอย่าง Devialet ที่สามารถขายลำโพงตัวละหลักแสนบาทได้
เพราะมีนวัตกรรมด้านเสียงที่เรียกว่า Analog Digital Hybrid (ADH) ที่ทำให้ลำโพงของแบรนด์นี้ มีเสียงที่ดีและได้รับการยอมรับในระดับโลก
หรืออย่างแบรนด์ Apple ที่มีระบบปฏิบัติการที่สามารถทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ใน Ecosystem ได้อย่างราบรื่น
รวมถึงยังเป็นผู้ริเริ่มการออกแบบ UI ของสมาร์ตโฟน ให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย และอยู่เบื้องหลังชีวิตประจำวันของคนทั่วโลกอีกด้วย
ดังนั้นแล้ว การสร้างแบรนด์ให้มีภาพลักษณ์พรีเมียม หรือดูแพง จึงไม่ใช่แค่การจ่ายเงินเพื่อภาพลักษณ์ภายนอก แต่ยังรวมถึงการยอมจ่ายเงินเพื่อนวัตกรรม หรือความแตกต่าง จากคู่แข่งในท้องตลาด เช่นเดียวกัน
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะเห็นภาพรวมของการสร้างแบรนด์ให้มีความพรีเมียม แต่ลูกค้ายังยอมจ่ายกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม การสร้างแบรนด์ให้มีความพรีเมียมเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมีกลยุทธ์การตลาด ที่ถ่ายทอดภาพลักษณ์ความพรีเมียม ทั้งของแบรนด์และตัวสินค้าหรือบริการไปยังลูกค้าได้
ซึ่งกลยุทธ์การตลาดที่ว่านี้ เช่น
1. ส่งต่อคุณค่าแบรนด์ให้ดี ต้องเล่าเรื่องราวให้ละเอียด (Storytelling)
การเล่าเรื่องราวของแบรนด์ (Brand Story) รวมถึงจุดเด่นของสินค้า และบริการของแบรนด์อย่างละเอียด เพื่อให้ลูกค้าสามารถรับรู้ถึงคุณค่าของแบรนด์ได้
โดยตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ Storytelling ให้เหมาะกับแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์พรีเมียม เช่น
- กลยุทธ์การเล่าเรื่อง The Why Story
เป็นเฟรมเวิร์กที่ใช้สำหรับการเล่าเรื่องจุดกำเนิด และคุณค่าของแบรนด์โดยเฉพาะ โดย The Why Story จะประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ คือ
The Mission คือ ภารกิจของแบรนด์ เป็นช่วงที่เน้นย้ำว่าแบรนด์เชื่อมั่นในอะไร และมีพันธกิจอย่างไร
The Journey คือ จุดเริ่มต้น และการเดินทางของแบรนด์
The Impact คือ ผลกระทบที่แบรนด์ต้องการสร้าง หรือเปลี่ยนแปลงสังคม
The Journey คือ จุดเริ่มต้น และการเดินทางของแบรนด์
The Impact คือ ผลกระทบที่แบรนด์ต้องการสร้าง หรือเปลี่ยนแปลงสังคม
- กลยุทธ์การเล่าเรื่อง The Problem-Solution Story
คือการสื่อสารแบบตรง ๆ ไปเลยว่า สินค้าและบริการของแบรนด์เข้ามาช่วยอะไรผู้บริโภคบ้าง
โดยเล่าเรื่องผ่านโครงสร้าง 3 ส่วน ได้แก่
The Problem คือ ปัญหาที่ลูกค้าพบเจอ
The Solution คือ แบรนด์เสนอสินค้า และบริการเพื่อแก้ไขปัญหาของลูกค้า
The Proof คือ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากได้ใช้สินค้า และบริการ
The Solution คือ แบรนด์เสนอสินค้า และบริการเพื่อแก้ไขปัญหาของลูกค้า
The Proof คือ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากได้ใช้สินค้า และบริการ
โดยแบรนด์สามารถนำตัวอย่างกลยุทธ์ Storytelling ทั้งสองนี้ ไปใช้กับการเล่าเรื่องราวของแบรนด์ คุณค่า รวมถึงสินค้าหรือบริการได้ ตามสไตล์ของตัวเอง
2. สร้างประสบการณ์การใช้สินค้า และบริการที่แตกต่าง
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ การจะสร้างแบรนด์ให้ดูพรีเมียม มีหัวใจหลักอีกหนึ่งอย่างคือ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ในทุกขั้นตอนของ Customer Journey
เพราะลูกค้าที่ซื้อสินค้า หรือบริการจากแบรนด์ที่มีความพรีเมียม ก็คาดหวังที่จะได้รับประสบการณ์ที่ดีจากแบรนด์ เช่นเดียวกัน
โดยตัวอย่างของแนวคิดที่สามารถนำมาใช้ได้กับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า คือแนวคิดที่ชื่อว่า Customer Centric ที่ยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลางของแบรนด์ และทำความเข้าใจลูกค้าในทุกขั้นตอนของ Customer Journey หรือก็คือ มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตั้งแต่ขั้นตอนแรก
ตั้งแต่รู้จักแบรนด์ → เริ่มพิจารณา → ตัดสินใจซื้อ → ใช้งานสินค้า → รับบริการหลังการขาย
ยกตัวอย่างเช่น
การซื้อ iPhone สักเครื่อง พนักงานจะเข้ามาสอบถามความต้องการใช้งาน และแนะนำรุ่นที่เหมาะสม จนกระทั่งนำลูกค้าไปสู่ขั้นตอนการตัดสินใจซื้อสินค้าจริง ซึ่งลูกค้าจะได้รับการบริการที่ดีจากพนักงานของ Apple ในทุกขั้นตอน
และสุดท้ายคือบริการหลังการขาย เชื่อว่าหลายคนที่เคยใช้งาน iPhone จะทราบดีว่าการบริการหลังการขายของ Apple จะมอบประสบการณ์ที่ดี และรวดเร็วเสมอ
สุดท้ายนี้ จากตัวอย่างไอเดียการสร้างแบรนด์ กลยุทธ์การตลาด และการสื่อสารที่กล่าวไปข้างต้น จะทำให้แบรนด์ดูพรีเมียมมากขึ้น ก็ต่อเมื่อองค์ประกอบแต่ละอย่างมีความสอดคล้องกัน
แต่ก็อย่าลืมว่า การจะสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูพรีเมียม หรือดูแพงได้นั้น สิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันก็คือสินค้าหรือบริการของแบรนด์
เพราะหากสินค้าไม่มีคุณภาพ หรือบริการไม่ดี ไม่ว่าจะพยายามสร้างแบรนด์ให้ดูพรีเมียมเพียงใด ก็คงไม่อาจทำให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินซื้อได้