3 กุญแจสำคัญ ที่ทำให้ BEAUTRIUM ครองตลาดความงามในไทย

3 กุญแจสำคัญ ที่ทำให้ BEAUTRIUM ครองตลาดความงามในไทย

21 พ.ย. 2025
ในยุคที่ผู้บริโภคอาจไม่ได้มองหาการซื้อสินค้าในร้านค้าอีกต่อไป แต่กำลังมองหา “ประสบการณ์” ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างรอบด้าน และหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นภาพชัดที่สุด ก็คือ BEAUTRIUM หรือ “บิวเทรี่ยม” บิวตี้สโตร์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดความงามไทยจนก้าวเข้าสู่ปีที่ 14  อย่างมั่นคง
ความสำเร็จของ BEAUTRIUM ในปี 2568 ไม่ได้โดดเด่นเพียงการคว้ารางวัลอันทรงเกียรติจากเวที Retail Asia Awards และ ADPeople เท่านั้น แต่ยังเป็นปีที่มีการขยายสาขามากที่สุด เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมทั้งสิ้น 28 สาขา BEAUTRIUM เดินหน้าขยายเครือข่ายร้านให้ครอบคลุมทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 นี้ได้รุกเข้าสู่ ภาคเหนือเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งเปิดสาขาใจกลางกรุงเทพฯ ณ เซ็นทรัลพาร์ค ตลอดจนขยายกำลังสู่ย่านตะวันออกที่เมกาบางนาขนาดใหญ่
การเติบโตครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ BEAUTRIUM ในการ ยกระดับประสบการณ์ช้อปปิงด้านความงาม ให้ลูกค้าทุกภูมิภาคสามารถเข้าถึงสินค้าได้อย่างครบครัน สะดวก และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากยิ่งขึ้น
BEAUTRIUM สามารถครองใจผู้บริโภคชาวไทยได้ด้วยการเดินเกมเชิงกลยุทธ์อย่างชาญฉลาด จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในแบรนด์รีเทลเครื่องสำอางแนวหน้าของประเทศเทียบเท่า OLIVE YOUNG ของประเทศเกาหลีและCOSME ของประเทศญี่ปุ่น 
คำถามคือ แล้วอะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จ?
MarketThink จะพาไปดู 3 กลยุทธ์สำคัญ ที่ช่วยผลักดันให้ BEAUTRIUM ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

กุญแจที่ 1: พลิกโฉมหน้าร้าน สร้างประสบการณ์สุดล้ำให้ลูกค้า
ในวันที่ “ร้านค้าปลีก” ไม่ใช่แค่ที่ขายของ แต่ต้องเป็นที่ที่ผู้บริโภคอยากมา “ใช้เวลา” BEAUTRIUM จึงลงทุนอัปเกรดความสวย เปลี่ยนแปลงทุกตารางเมตรของสาขา Siam Square Flagship Store ให้กลายเป็นจุดหมายของสายบิวตี้ ด้วยแนวคิด “4 ชั้น 4 โซน 4 ประสบการณ์” ดังนี้
• ชั้น 1: Global Beauty Zone
รวบรวมแบรนด์ความงามจากทั่วยุโรปและเอเชียไว้ในที่เดียว ทั้งเกาหลี จีน ญี่ปุ่น และไทย มาพร้อมโซนสินค้าอินดี้บิวตี้เข้าใหม่ อย่าง DYSON, AOU, ENTROPY, MUZIGAE MANSION, HERA, APPLE SHEEP, UIQ, HARU HARU WONDER, UJIN, PARNELL, HEART PERCENT, WHIPPED, SKINFOOD, ALTERNATIVESTERO, TIRTIR  นอกจากนั้นยังมี Brand Exclusive วางขายที่ BEAUTRIUM ที่แรกก่อนใครอย่าง PLAY101, FWEE, MAMONDE, ORJENA, MOONSHOT, MILKTOUCH, KEYTH, BEWANTS, LAGOM, NUMBUZIN, ARENCIA, SKYBOTTLE, MERZY, V&A, NAMING และ TREECELL ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกเทรนด์ความงามจนถูกจับตาในฐานะ “โอลีฟยังเมืองไทย”
• ชั้น 2: Skincare Heaven
พื้นที่ที่ออกแบบเพื่อสายสกินแคร์โดยเฉพาะ ให้ลอง เลือก และใช้เวลาได้เต็มที่ พร้อมบันไดเลื่อนในร้านมัลติแบรนด์แห่งแรกในไทยที่ช่วยอำนวยความสะดวกและเชื่อมต่อทุกโซนความสวยได้ต่อเนื่อง
• ชั้น 3: Phygital Beauty Experience
ผสานโลกออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน ด้วยโซน Live Room สำหรับแบรนด์และครีเอเตอร์ สร้างคอนเทนต์ได้แบบเรียลไทม์
• ชั้น 4: Creative Mix-Use Space
พื้นที่ที่เปิดโอกาสให้แบรนด์และคอมมูนิตี้มาเจอกัน ผ่านกิจกรรม Workshop, Pop-up หรือ Meet & Greet
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่การตกแต่งใหม่ แต่คือการยกระดับบทบาทของหน้าร้านให้กลายเป็นศูนย์กลาง “ประสบการณ์ความงาม” อย่างแท้จริง
กุญแจที่ 2: เปลี่ยนร้านให้เป็น "สื่อ"
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ การพลิกโฉมร้านให้เป็น Retail Media Platform แนวคิดที่เริ่มได้รับความนิยมในต่างประเทศ 
BEAUTRIUM เปิดให้แบรนด์พาร์ทเนอร์สามารถใช้ “พื้นที่ร้าน” เป็นช่องทางโฆษณาแบบใหม่ เช่น ภาพแคมเปญใหญ่บริเวณกระจกหน้าร้าน ล่าสุดกับภาพของ “ชาอึนอู” แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ ABIB ที่สร้างกระแสบนโซเชียลได้ทันทีหลังปล่อยแคมเปญ
นอกจากนั้น BEAUTRIUM ยังให้ความสำคัญกับ “พื้นที่กิจกรรม (Activation Zone)” ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับผู้บริโภค โดยพื้นที่นี้ทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญและช่วยเพิ่ม Engagement ระหว่างลูกค้าและแบรนด์พาร์ทเนอร์ ผ่านกิจกรรมทั้งในเชิงทดลองสินค้า (Product Trial) การให้ความรู้ด้านความงาม (Beauty Education) รวมถึงแคมเปญพิเศษที่สร้างความสนุกและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ดังนั้นพื้นที่กิจกรรม (Activation Zone) จึงกลายเป็นเวทีให้แบรนด์พาร์ทเนอร์ได้สื่อสารเรื่องราว เอกลักษณ์และนวัตกรรมของสินค้าอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ได้รับประสบการณ์จริงที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์มากขึ้น
นั่นหมายความว่า ในอนาคต BEAUTRIUM จะไม่ได้เป็นแค่ “จุดขาย” ของแบรนด์ แต่ยังเป็น “สื่อ” ที่แบรนด์พาร์ทเนอร์สามารถใช้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรงและมอบทั้งแรงบันดาลใจและความเพลิดเพลินในทุกครั้งที่มาเยือน


กุญแจที่ 3: สินค้าใหม่ พร้อมคลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม 2 เท่า
แน่นอนว่า “ประสบการณ์” จะไม่สมบูรณ์ หากไม่มี “สินค้า” ที่ตรงใจ และเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  BEAUTRIUM จึงลงทุนขยายคลังสินค้าใหม่ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บและกระจายสินค้าให้เท่าทันกับการเติบโตของธุรกิจ ทั้งนี้ขนาดของคลังใหม่ก็พร้อมรองรับการขยายสาขาร้าน BEAUTRIUM ในทุกหัวมุมเมืองและความต้องการในการช้อปปิ้งช่องทางออนไลน์ไปอีก 3-5 ปี
ทั้งยังมีการจัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งสำหรับเป็น Cool Room หรือ ห้องควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งจำกัดไว้ที่ประมาณ 20-25 องศาเซลเซียสตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูแลสินค้าที่ไวต่ออุณหภูมิและความชื้นโดยเฉพาะ อาทิ สินค้ากลุ่มน้ำหอมและพรีเมียมเซกเมนท์เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพของสินค้าให้คงเดิม ไม่ผิดเพี้ยน
การลงทุนนี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มพื้นที่เก็บของ แต่คือการ “วางโครงสร้างพื้นฐาน” เพื่อเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการสินค้ารวดเร็ว แม่นยำ และบริการที่ราบรื่น
จาก “ร้านเครื่องสำอาง” สู่ “ศูนย์กลางประสบการณ์ความงาม” ที่ BEAUTRIUM กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า การเป็นผู้นำในตลาดวันนี้ ไม่ใช่แค่การมีสินค้าดี หรือทำราคาได้ถูกกว่า แต่ต้องสร้าง “คุณค่า” เพิ่มให้กับลูกค้าในทุกมิติ 
และนี่คือ 3 กุญแจสำคัญที่อาจทำให้ BEAUTRIUM กลายเป็นมากกว่าร้านเครื่องสำอางทั่วไป แต่เป็น “พื้นที่ที่ทุกคนอยากแวะมาสำรวจความสวยครั้งใหม่” ได้ทุกครั้งที่แวะมา
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.