การลงทุนรูปแบบใหม่จะไม่ได้ถูกกำหนดด้วยกรอบแนวคิด  "active หรือ passive” อีกต่อไป

การลงทุนรูปแบบใหม่จะไม่ได้ถูกกำหนดด้วยกรอบแนวคิด "active หรือ passive” อีกต่อไป

6 ต.ค. 2025
เมื่อนักลงทุนตระหนักถึงความเสี่ยงของการกระจุกตัวของตลาด จึงเริ่มมองหา “เครื่องยนต์รุ่นใหม่” ที่จะมาขับเคลื่อนผลตอบแทนการลงทุน รวมถึงให้ความสนใจในสินทรัพย์นอกตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ  เพราะถึงจุดนี้ทุกคนเริ่มเข้าใจแล้วว่าการลงทุนเชิงรุก (active) มีอะไรมากกว่าเพียงแค่การคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะเข้าลงทุนเท่านั้น 
โดย ริชาร์ด โอลด์ฟิลด์ (Richard Oldfield) Group CEO, ชโรเดอร์ส
ปัจจุบันเราแทบไม่ค่อยได้ยินคนพูดถึงการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงรุก (active) เท่าไร ทั้งที่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เรามักถกเถียงกันถึงประเด็น“การลงทุนเชิงรุก (active) หรือ เชิงรับ (passive) แบบไหนดีกว่ากัน?” หรือเป็นเพราะกลยุทธ์การบริหารการลงทุนเชิงรุกโดยเฉพาะกับตลาดที่มีสภาพคล่องสูงอย่างสหรัฐอเมริกาไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป 
    ยุคนี้การบริหารพอร์ตการลงทุนในมิติใหม่ได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างแนวทาง “การลงทุนเชิงรุกและเชิงรับ” จนแทบแยกไม่ออก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการออกกองทุนเชิงรับใหม่ๆ มากมายเป็นประวัติการณ์ แต่รูปแบบการบริหารจัดการไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวิ่งตามดัชนีตลาดขนาดใหญ่แบบกว้างๆ หากเลือกวิ่งไปตามทิศทางกระแสหลักทั่วโลก อาทิ เน้นการลงทุนตามธีม สไตล์ หรือมุ่งลงทุนไปยังภูมิภาค หรือหมวดธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น ดังนั้นแม้ชื่อกองทุนอาจฟังดูเป็นกองทุนเชิงรับ แต่การจัดพอร์ตที่นำแนวทางการบริหารดังกล่าวมาเป็น “ส่วนผสม” จึงถือเป็นกระบวนการเชิงรุกอยู่ดี 
     ปัจจัยอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการทบทวนใหม่ถึงภาพจำของกองทุน เชิงรุก/เชิงรับ ที่มักถูกยกขึ้นมาเปรียบเทียบกันได้แก่ ความผันผวนของตลาดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งตอกย้ำความเสี่ยงจากการกระจุกตัวที่ผูกติดไปกับดัชนีแบบกว้าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีระดับโลกหรือของสหรัฐฯก็ตามที อาทิเช่น MSCI World Index ที่กว่า 75% เป็นหุ้นของบริษัทสหรัฐฯ และมีเพียงหุ้นเทคโนโลยีบริษัทบิ้คเทค 10 ตัวเท่านั้นที่ถือครองสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่ง! นี้คือแนวทางของการบริหารเชิงรับจริงหรือ?
     ปฏิเสธไม่ได้ว่าการบริหารการลงทุนแบบเชิงรับท่ามกลางการกระจุกตัวของตลาดที่กล่าวมาก็เคยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนมากมาย เพราะนับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2010 ดัชนี S&P 500 โชว์ผลตอบแทนเฉลี่ยเกือบ 14% ต่อปี ในขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และหุ้นสหรัฐฯ เติบโตโดดเด่นทำผลกำไรได้ดีเหนือตลาดอื่นๆ ทั่วโลกมากมาย ไม่มีใครคาดคิดว่าตลาดสหรัฐฯ ที่ยืนหนึ่งมาโดยตลอดจะประสบความปั่นป่วนอย่างรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จากภาวะที่ตลาดเกิดแรงเทขายอันเป็นผลพวงมาจากการประกาศใช้มาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ (Liberation Day)  ผลกำไรที่หดหายจากความชะล่าใจในตลาดที่แข็งแกร่งทำให้นักลงทุนตระหนักถึงความเปราะบางของกลยุทธ์การลงทุนดังกล่าว          
     สิ่งที่พบเห็นในหมู่นักลงทุนช่วงนี้คือการใช้แนวทางที่รอบคอบมากขึ้น และจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนขึ้น จากผลการสำรวจ Global Investor Insights ล่าสุดของชโรเดอร์ส ที่จัดทำขึ้นระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม พบว่า 80% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งเป็นนักบริหารการลงทุนระดับมืออาชีพทั่วโลก 995 คนที่มีพอร์ตสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมูลค่ารวมกันกว่า 67 ล้านล้านดอลลาร์ ระบุว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเลือกใช้กลยุทธ์การบริหารจัดการเชิงรุกเพิ่มมากขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า
     ช่วงเวลานี้นักลงทุนต้องการสร้างความยืดหยุ่นให้กับพอร์ตลงทุน โดยมองลู่ทางในการกระจายความเสี่ยง อาทิ เน้นการลงทุนในภูมิภาคที่มีการเติบโตดี ลงทุนในหลากหลายประเภทของสินทรัพย์ และการลงทุนตามสไตล์หรือธีม นอกจากนี้นักลงทุนจำนวนมากกำลังลดการถือครองดอลลาร์ลงด้วย และนี่คือปฏิกิริยากลับด้านที่น่าจับตามอง เนื่องจากในอดีตหากตลาดเกิดความผันผวนไม่แน่นอน เงินดอลลาร์และสินทรัพย์ในตลาดสหรัฐฯ มักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย แต่ขณะนี้การลงทุนกำลังเคลื่อนย้ายฐานไปยังตลาดยุโรป เอเชีย หรือตลาดเกิดใหม่ เป็นหลักแทน
     ในโลกยุคที่มีความผันผวนสูง นักลงทุนมองหาสไตล์การลงทุนโดยเฉพาะในยามต้องเผชิญกับ “กับดักของดัชนี (pitfalls of an index)” พวกเขามองหาแนวทางที่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้หรือแม้แต่แนวทางที่จะใช้สวนกระแสได้ ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค (เช่น อัตราดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องที่ล้นตลาด และผลตอบแทนที่โดดเด่นของตลาดสหรัฐฯ) ได้ช่วยยกระดับสินทรัพย์ทุกประเภทให้เติบโตพร้อมๆ กัน แต่เมื่อสถานการณ์ ความผันผวนเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยทางเศรษฐกิจจุลภาค (เช่น ความสามารถในการทำกำไรของแต่ละบริษัทฯ) ได้ขยับขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ แทน ดังนั้นกลยุทธ์ที่มองไปข้างหน้าจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และหนทางแก้คือเน้นการลงทุนแบบเชิงคุณค่า (a value approach) เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงจะช่วยให้เรามีกำไรเหลือจากส่วนต่างที่เผื่อความปลอดภัยไว้แล้ว (safety margin) หรืออาจเป็นการลงทุนเชิงธีม (thematic) ที่ยึดโยงกับกลุ่มอุตสาหกรรมหรือเทรนด์ตลาด
ทางเลือกการลงทุนในสินทรัพย์และความต้องการการลงทุนนอกตลาด (Private Markets) ที่เพิ่มขึ้นกำลังปรับโฉมภูมิทัศน์การลงทุนใหม่
     นอกเหนือจากนโยบายที่เปลี่ยนไปมาของสหรัฐฯเองแล้ว ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างระดับโลกที่จะยังดำรงอยู่อีกนานหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์พ้นตำแหน่ง หนึ่งในนั้นคือวิกฤติภาระหนี้สาธารณะที่พอกพูนทับถมอย่างมหาศาลซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความไม่แน่นอนในตลาดตราสารหนี้ ที่แม้ว่าจะให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้น แต่จะมีความผันผวนเชิงโครงสร้างที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน 
     ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่มองหากระแสเงินสด ตราสารหนี้อาจจะตอบโจทย์แม้อาจไม่ใช่ทั้งหมด และจากผลการสำรวจ Global Investor Insight Survey ยังมีทางเลือกอื่นที่น่าสนใจได้แก่ ตราสารหนี้นอกตลาด (private debt) และเครดิตทางเลือก (credit alternatives) ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเพิ่มสูงขึ้น โดยขณะนี้ได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดใจที่สุดสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนในรูปแบบกระแสเงินสด
     และหากคำตอบของการลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสดในอนาคตคือการผสมผสานระหว่างตราสารหนี้ในตลาด เช่นพันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้ (public debt) กับตราสารหนี้นอกตลาด (private debt) เข้าด้วยกันแล้ว จะยิ่งทำให้ข้อถกเถียงที่มีมาเรื่อง ‘การลงทุนเชิงรุก’ กับ ‘การลงทุนเชิงรับ’ หมดความหมายลงไปโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับกรณีของการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และหุ้นนอกตลาด (Public & Private Equity)
นักลงทุนจะหันกลับมาให้ความสนใจใน ‘นวัตกรรมเทคโนโลยีสร้างสรรค์ใหม่ๆ’   
     เทคโนโลยีการบันทึกและแบ่งปันข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (distributed ledger tech) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการประมวลผลที่มีราคาถูกลง กำลังผลักดันแนวทางการลงทุนไปสู่รูปแบบการลงทุนที่ซับซ้อนและเฉพาะเจาะจงกับความต้องการของนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบโครงสร้างกองทุนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยจะสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่ปรับให้เข้ากับเป้าหมายและระยะเวลาที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละคนได้ ขณะที่กองทุนบำเหน็จบำนาญจะมีข้อกำหนดด้านความยั่งยืนที่ฝังอยู่ในโครงสร้างพอร์ตลงทุนได้ด้วย ดังนั้นหลักการทั่วไประหว่าง การลงทุนเชิงรุก (Active) และ การลงทุนเชิงรับ (Passive) จึงไม่ใช่แกนหลักของการถกเถียงอีกต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการหาคำตอบว่า นักลงทุนเผชิญปัญหาอะไร? และจะใช้กลยุทธ์หรือทางเลือกแบบใดในการแก้ปัญหานั้นๆ 
คำสุภาษิตที่ว่า “แลเห็นนกนางแอ่นตัวเดียว มิอาจบ่งบอกการมาถึงของฤดูร้อนอันน่ารื่นรมย์ได้” ยังใช้ได้เสมอ เพราะ กระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Capital Flows) ในอนาคตต่างหากที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ แม้การลงทุนแบบ เชิงรับเคยเป็นกระแสหลักของวงการการลงทุนมาตลอด 25 ปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่หลายครั้งมันถูกผลักดันโดยแวดวงของธุรกิจการลงทุนเอง มากกว่าความสอดคล้องกับผลประโยชน์สูงสุดของนักลงทุน วันนี้เราอาจกำลังยืนอยู่บน จุดเปลี่ยน (Turning Point) ที่จะนิยามทิศทางใหม่ของการลงทุนในอนาคต
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.