
เศรษฐกิจดิจิทัลไทย ปี 2568 คาดแตะ 1.8 ล้านล้านบาท ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคฯ
27 พ.ย. 2025
Google, Temasek และ Bain & Company เปิดตัวรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (e-Conomy SEA Report) ฉบับครบรอบ 10 ปี ที่มีชื่อว่า “From Digital Decade to AI Reality: Accelerating the future in ASEAN”
เศรษฐกิจดิจิทัลไทย ยังคงใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะมีอุปสรรคทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การบริโภคภายในประเทศที่ซบเซาและภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่เศรษฐกิจดิจิทัลไทยก็ยังคงเติบโตได้ดี
โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าสินค้ารวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) จะสูงถึง 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 หรือราว 1.8 ล้านล้านบาท ซึ่งโตขึ้น 16% โดยมีภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
- อีคอมเมิร์ซเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทย จากความนิยมของวิดีโอคอมเมิร์ซ
อีคอมเมิร์ซยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย และมีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคฯ (โตขึ้น 22% จากปีที่ผ่านมา) โดยคาดว่าจะแตะ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท ในปี 2568
ซึ่งปัจจัยสำคัญของการเติบโตนี้คือวิดีโอคอมเมิร์ซที่กำลังเฟื่องฟู โดยพบว่ามีผู้ขายสินค้าผ่านวิดีโอมากถึง 850,000 ราย ซึ่งพุ่งสูงขึ้นถึง 175% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ไทยเป็นตลาดที่มีจำนวนผู้ขายสินค้าผ่านวิดีโอที่ใหญ่ และเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้
ปัจจุบัน ไทยเป็นตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคฯ ด้วยปริมาณธุรกรรมที่สูงถึง 1.3 พันล้านครั้ง โดยปัจจัยหนุนหลักของการเติบโตนี้คือกลุ่มสินค้าที่ได้รับการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคสูง เช่น สินค้าแฟชั่นและเครื่องประดับ ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 21% ของมูลค่าสินค้ารวมของวิดีโอคอมเมิร์ซ
การเปลี่ยนแปลงนี้กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังเปิดช่องทางใหม่ ๆ ให้กับผู้ขาย แพลตฟอร์ม และแบรนด์ต่าง ๆ ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอีกด้วย
ราฟาเอล ซิสโลว์สกี Country Manager, Google ประเทศไทย กล่าวว่า

“การผสานรวมระหว่างการขายสินค้าและการทำคอนเทนต์เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน โดยปัจจุบัน ภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยมีการเติบโตที่เร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ไทยยังเป็นตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของผู้บริโภคชาวไทย
ซึ่งภาคส่วนอื่น ๆ ก็กำลังได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเติบโตนี้ด้วย เราเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภาคธุรกิจหลัก ๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับความท้าทายจากหลายด้าน โดยคาดว่ามูลค่าสินค้ารวมจะสูงถึง 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ”
- การท่องเที่ยวออนไลน์ยังคงเติบโต แม้ภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวช้า
การท่องเที่ยวออนไลน์คาดว่าจะโตขึ้น 6% และมูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.5 แสนล้านบาท ในปี 2568 แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวช้า แต่ไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาดการท่องเที่ยวออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การสนับสนุนด้านนโยบายจากภาครัฐเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงและขยายกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายขึ้นนอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าชาวจีน ซึ่งรวมถึงการขยายโครงการยกเว้นวีซ่าให้ครอบคลุม 93 ประเทศโดยอนุญาตให้พำนักได้สูงสุด 60 วัน เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น อินเดียและตะวันออกกลาง ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตนี้โดยตรงเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังคงเสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพระดับโลกโดยเน้นบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานระดับสากล และเดินหน้าเผยแพร่วัฒนธรรมไทยออกสู่สายตาชาวโลก
- ภาคธุรกิจหลักยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากอีคอมเมิร์ซและการท่องเที่ยวออนไลน์แล้ว ภาคธุรกิจหลักอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มการเติบโตในเชิงบวกด้วยเช่นกัน
1) บริการด้านการเงินดิจิทัล (Digital Financial Services หรือ DFS) ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงหนุนจากความมั่งคั่งทางดิจิทัล (Digital Wealth) ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเติบโต 29% และมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (Assets under management หรือ AUM) แตะ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 8 แสนล้านบาท
ในขณะที่บริการสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัล (Digital Lending) คาดว่าจะมียอดสินเชื่อคงค้าง (Loan Book Balance) สูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.5 แสนล้านบาท ในปี 2568 คิดเป็นอัตราการเติบโต 21%
ด้านการชำระเงินดิจิทัล (Digital Payments) คาดว่าจะมูลค่าธุรกรรมรวม (Gross Transaction Value หรือ GTV) สูงถึง 1.63 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.2 ล้านล้านบาท ในปี 2568 โดยโตขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ยังจะมีการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงินดิจิทัล โดยคาดว่าจะมีธนาคารดิจิทัล 3 แห่งได้รับอนุมัติใบอนุญาตให้เริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569 โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินและธุรกิจ SME ขนาดเล็ก
ในขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อก็ได้ปรับลดลงตามความต้องการสินเชื่อที่ลดลง และยังมีการเพิ่มความเข้มงวดของกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบเพื่อให้การปล่อยสินเชื่อเป็นธรรมยิ่งขึ้น
2) สื่อออนไลน์ ซึ่งได้แก่ วิดีโอออนดีมานด์ เพลงออนดีมานด์ เกม และโฆษณา ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 8% โดยคาดว่ามูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.2 แสนล้านบาทในปีนี้
ภาคธุรกิจนี้ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง โดยได้รับแรงหนุนจากโฆษณาที่มาจากการขยายเครือข่ายสื่อค้าปลีก การเจาะตลาดเชิงลึกของวิดีโอคอมเมิร์ซ และการทำแคมเปญโฆษณาที่หลากหลายมากขึ้น ที่น่าสนใจก็คือ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีอิทธิพลในด้านต่าง ๆ ยังคงเป็นตลาดหลักที่สำคัญสำหรับการบริโภคเพลงและมักทำให้เกิดเทรนด์ระดับโลกด้วยเพลง T-Pop
3) การขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์ ยังคงเป็นภาคส่วนสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย โดยโตขึ้น 15% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีมูลค่าสินค้ารวมอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.6 แสนล้านบาท ในปี 2568 เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566
หลังจากการแข่งขันที่ดุเดือด และการถอนตัวของผู้ให้บริการรายใหญ่ แพลตฟอร์มที่เหลือจึงมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความสามารถในการสร้างผลกำไรด้วยการสร้างโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ แพลตฟอร์มต่าง ๆ จึงให้ข้อเสนอที่หลากหลายแก่ผู้บริโภคและสร้างช่องทางสร้างรายได้ใหม่ ๆ เช่น แพ็กเกจสมาชิก บัตรกำนัลรับประทานอาหารภายในร้าน และโฆษณาในแอป
- ปลดล็อกโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโตด้วย AI
ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ระดับโลก ประเทศไทยก็กำลังดำเนินกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรระดับประเทศอย่างแข็งขัน โครงการริเริ่มของรัฐบาลที่ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อยกระดับทักษะของนักศึกษา และแรงงานสอดคล้องกับความต้องการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ AI ของคนไทย
ซึ่งเห็นได้จากจำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนหลักสูตร Generative AI ในไทยที่เพิ่มขึ้นถึง 3.3 เท่า และการที่ภาคเอกชนนำ AI มาใช้จริงในอัตราที่รวดเร็ว ตั้งแต่การใช้ AI วิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ในภาคสาธารณสุข ไปจนถึงการตรวจจับการฉ้อโกงในภาคการเงิน
ในด้านผู้ใช้ ประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของผู้ใช้ในระดับสูง โดย 76% ของผู้ใช้ชาวไทยโต้ตอบกับเครื่องมือ AI ทุกวัน ในขณะที่ 56% ของผู้ใช้ชาวไทยสนทนากับแช็ตบ็อต AI
นอกจากนี้ ความต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วย AI ยังเห็นได้อย่างชัดเจน โดยพบว่าผู้ใช้จำนวนมาก (79%) กำลังเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI อยู่แล้ว ด้านแรงจูงใจหลักในการใช้ AI ได้แก่ ช่วยประหยัดเวลาในการค้นคว้าและเปรียบเทียบ (45%) เพิ่มความปลอดภัย (35%) และความพร้อมในการสนับสนุนลูกค้าทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง (33%)
โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แอปที่มีฟีเจอร์ AI มีรายได้เติบโตขึ้นถึง 79% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2567
“ประเทศไทยได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตของอีคอมเมิร์ซและวิดีโอคอมเมิร์ซของภูมิภาคนี้ และในขณะเดียวกันก็กำลังวางรากฐานสำหรับทศวรรษหน้า การดำเนินกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรระดับประเทศของรัฐบาลเพื่อยกระดับทักษะแรงงานไทยในด้านความสามารถทางดิจิทัลและ AI ผ่านโครงการต่าง ๆ
ประกอบกับการที่ภาคส่วนต่าง ๆ นำ AI มาใช้อย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็นผู้นำสำหรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของอาเซียน เรายังคงมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือและทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาครัฐ ภาคธุรกิจ และชุมชนของไทย เพื่อปลดล็อกโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต และเพื่อให้มั่นใจว่าคนไทยทุกคนจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีและ AI อย่างเท่าถึงกัน” ราฟาเอล กล่าวสรุป

วิลลี่ ชาง Partner, Bain & Company กล่าวว่า
“เศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและความสามารถในการฟื้นตัวที่โดดเด่น โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้การลงทุนจะชะลอตัวในบางช่วงและภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความโดดเด่นในฐานะผู้นำระดับภูมิภาค
โดยมูลค่าสินค้ารวมของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยมีแนวโน้มเติบโตถึง 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 ซึ่งขับเคลื่อนโดยภาคอีคอมเมิร์ซที่เติบโตถึง 22% จากปีที่ผ่านมา
และธุรกิจวิดีโอคอมเมิร์ซที่กำลังเฟื่องฟู ซึ่งปัจจุบันไทยเป็นตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคนี้
เราเชื่อมั่นว่า AI จะเป็นแรงผลักดันการเติบโตระลอกต่อไป ตราบใดที่ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม รับมือกับความท้าทาย และเปลี่ยนนวัตกรรม AI ให้กลายเป็นการสร้างมูลค่าระยะยาวได้”