สมุนไพรวังพรม ปั้นแบรนด์ “ยาหม่องไทย” ครองตลาด CLMV หลังทำยอดขาย อันดับ 1 แซงหน้าโลคอลแบรนด์ในลาว

สมุนไพรวังพรม ปั้นแบรนด์ “ยาหม่องไทย” ครองตลาด CLMV หลังทำยอดขาย อันดับ 1 แซงหน้าโลคอลแบรนด์ในลาว

16 ก.ย. 2020
สมุนไพรวังพรม ขึ้นแท่นยาหม่องสมุนไพรไทย ขายดีอันดับ 1 ในประเทศลาว หลังฝ่าวิกฤติโควิด-19 ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 60% แซงหน้าโลคอลแบรนด์เจ้าถิ่น พร้อมเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จ เร่งทำตลาดในประเทศ “เมียนมาร์” และ “กัมพูชา” ด้วยกลยุทธ์ปั้นแบรนด์สมุนไพรไทย ขยายฐานลูกค้ากลุ่มประเทศ CLMV ขณะที่ยอดขายในประเทศไทย ไตรมาส 3 เริ่มกลับมามีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง หลังยอดสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้นกว่า 50% จากช่วง 2 ไตรมาสแรก
นางสาววัชรีภรณ์ วังพรม กรรมการบริหาร บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลัง สมุนไพรวังพรม เดินหน้าขยายตลาดส่งออก โดยมุ่งเป้าขยายฐานลูกค้าในกลุ่มประเทศ CLMV มาตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ขณะนี้ถือว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศลาว ที่มีความชื่นชอบในผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นทุนเดิม และมีไลฟ์สไตล์การใช้ผลิตภัณฑ์ทาถูบรรเทาอาการและนวดผ่อนคลายคล้ายกับคนไ ทย ทำให้ผลิตภัณฑ์ “ยาหม่องสมุนไพรเสลดพังพอน” และยาหมองสมุนไพรไทยสูตรอื่นๆ ของแบรนด์สมุนไพรวังพรม เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ภายหลังเข้าไปทำตลาดในประเทศลาว โดยล่าสุดในปี 2562 ที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปี 2561 อีกทั้งยังครองส่วนแบ่งอันดับ 1 โดยทำยอดจำหน่ายรวมถึง 60% กลุ่มตลาดยาหม่องในประเทศลาว ซึ่งถือเป็นอีกก้าวของความสำเร็จ ที่ผลิตภัณฑ์ยาหม่องสมุนไพรไทยสามารถทำยอดขาย แซงหน้าผลิตภัณฑ์ยาหม่องโลคอลแบรนด์ของลาวได้เป็นครั้งแรก
กรรมการบริหาร บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด กล่าวว่า เพื่อขยายตลาดและฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ในระยะที่สองของการมุ่งเป้าสู่ตลาดกลุ่มประเทศ CLMV สมุนไพรวังพรม จะเร่งผลักดันการทำตลาดและส่งออกไปยังประเทศเมียนมาร์และกัมพูชา เนื่องจากผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยเฉพาะยาหม่องยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ซึ่งจากการคาดการณ์แนวโน้มในสองประเทศ คาดว่าจะสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ 8-10% ภายในปี 2565 รวมถึงกระตุ้นยอดขายในประเทศผ่านกลยุทธ์ปั้นแบรนด์สมุนไพรไทย ที่เชื่อมโยงกับภูมิปัญญาและการนวดไทยอันเป็นเอกลักษณ์ และได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ได้แก่
1) เพิ่มกลุ่มผู้บริโภค โดยเน้นขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่ ที่หันมาให้ความสนใจผลิตภัณฑ์สมุนไพรมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ โดยเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และการจัดโปรโมชั่น ควบคู่ไปกับช่องทางจัดจำหน่ายหน้าร้านสมุนไพรวังพรมและร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศไทย
2) ยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์สมุนไพรวังพรม ไม่เพียงได้รับการยอมรับในกลุ่มประเทศ CLMV เท่านั้น แต่ยังไปไกลถึงกลุ่มประเทศในแถบยุโรปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับ ศาสตร์นวดไทยที่ได้รับยกย่องเป็นมรดกโลก การเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์เข้ากับเรื่องราวและคุณค่าที่ได้รับการยอมรับในต่างประเทศอ ย่างแพร่หลาย จะช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ก้าวสู่ระดับสากล ผ่านการเปิดตัวคลิปวิดีโอ “เชิดชูนวดไทย จากสมุนไพรวังพรม” ซึ่งไม่เพียงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็นไทย แต่ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มคุณค่าและเรื่องราวให้กับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยอีกด้วย
3) เตรียมความพร้อมด้านกำลังการผลิต โดยดำเนินการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ภายใต้มาตรฐาน GMP PIC/S อันเป็นมาตรฐานการผลิตยาของประเทศในสหภาพยุโรป มาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตยาสามัญ เช่น พาราเซตามอล ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่มีเป้าหมายปรับปรุงมาตรฐานการผลิต ของผู้ผลิตยาแผนโบราณขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงผู้ผลิตที่ผลิตยาในรูปแบบที่มีความเสี่ยงต่ำในประเทศ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการภายในปี 2564
ด้าน นายวุฒิชัย วังพรม กรรมการบริหาร บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด กล่าวถึงยอดจำหน่ายในช่วง 2 ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ของปี 2563 ระบุว่า ต้องยอมรับว่า สมุนไพรวังพรม ก็เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยตรง โดยไม่เพียงต้องหยุดไลน์การผลิตและปิดโรงงานชั่วคราว เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการซื้อกะทันหัน จนส่งผลต่อยอดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ในขณะเดียวกันธุรกิจนวดไทยซึ่งเป็นหนึ่งในลูกค้ากลุ่มใหญ่ จำเป็นต้องหยุดให้บริการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำให้ยอดจำหน่ายโดยรวมในช่วงนั้นค่อนข้างชะงักตัว อย่างไรก็ตาม ภายหลังเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ในช่วงเดือนกรกฎาคม และ สิงหาคม ที่ผ่านมา ตลาดต่างๆ ของผลิตภัณฑ์สมุนไพรวังพรม เริ่มกลับมามีคำสั่งซื้อและมีแนวโน้มปรับขยายตัวต่อเนื่อง คิดเป็นประมาณ 50% จากช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ขณะนี้โรงงานต้องเดินสายพานการผลิตอย่างเต็มกำลัง และเพิ่มโอทีพนักงาน 100% ซึ่งหากยอดคำสั่งซื้อเป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่าภายในสิ้นปี 2563 สมุนไพรวังพรม จะประคองสถานการณ์ผ่านพ้นช่วงวิกฤติโควิด-19 ไปได้ โดยมียอดขายตามเป้าหมายที่วางไว้
ทั้งนี้ ในปี 2563 สมุนไพรวังพรม เปิดดำเนินกิจการครบรอบ 25 ปี โดยมีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 6 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มยาดม กลุ่มยาสมุนไพร กลุ่มยาแคปซูล กลุ่มของใช้ส่วนตัว กลุ่มของชำร่วย และกลุ่มยาสำหรับนวด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะ “ยาหม่องสูตรเสลดพังพอน” ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยสีของผลิตภัณฑ์และกระปุกสีเขียว มีสรรพคุณช่วยแก้คันจากพิษแมลงสัตว์กัดต่อย มีกลิ่นหอมนวล-ละมุน และ “ยาหม่องสูตรไพล” กระปุกสีเหลือง ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ดี โดยปัจจุบันยาหม่องแบรนด์สมุนไพรวังพรม ถือเป็น 1 ใน 5 ผู้นำตลาดยาหม่องในประเทศไทย ที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 3 พันล้านบาท โอกาสการเพิ่มยอดขายในสินค้ากลุ่มนี้ จึงยังมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ในขณะที่ตลาดผู้บริโภคต่างชาตินั้น ส่วนใหญ่ชื่นชอบและติดใจจากการประสบการณ์ตรง หลังเข้ารับบริการร้านนวดแผนไทย หรือมีโอกาสได้ทดลองทาถูระหว่างเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว จนเกิดเป็นกระแสแนะนำปากต่อปาก
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.