ลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้าน กระทบไม่มาก ธนาคารพาณิชย์มีเงินทุนแข็งแกร่ง และครอบคลุมจำนวนบัญชีเงินฝากกว่า 98% - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้าน กระทบไม่มาก ธนาคารพาณิชย์มีเงินทุนแข็งแกร่ง และครอบคลุมจำนวนบัญชีเงินฝากกว่า 98% - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

7 ส.ค. 2021
วันที่ 11 สิงหาคม 2564 วงเงินฝากซึ่งจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก จะลดลงมาอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน
ซึ่งในกรณีของไทยนั้น เป็นการนับถอยหลังกระบวนการทยอยลดการคุ้มครองเงินฝากตามลักษณะจำนวน (Blanket Guarantee) ที่ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ทศวรรษ (ตั้งแต่ 11 ส.ค. 2554 - 11 ส.ค. 2564)
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองว่า การลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองลงมา น่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างวินัยทางการเงินที่มีความรอบคอบทั้งในด้านสถาบันการเงินและผู้ฝากเงิน
เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาระของภาครัฐและผู้เสียภาษี ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540
นอกจากนี้ กำหนดการสำหรับการปรับลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง ก็มีการวางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ประกอบกับฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของสถาบันการเงินไทยในปัจจุบัน ทำให้ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเลื่อนเวลาออกไป
ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้านการคุ้มครองเงินฝากตามรายงานของ International Association of Deposit Insurers (IADI) ที่ระบุว่า สถาบันประกันเงินฝากส่วนใหญ่ ยังคงระดับการค้ำประกันเงินฝากไว้ตามเดิม โดยที่ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นดังเช่นวิกฤติปี ค.ศ. 2008 (เนื่องจากทางการได้ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบหลากหลายด้าน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถาบันการเงิน รวมถึงสถาบันการเงินมีการปฏิรูปการดำเนินงานหลังวิกฤติ ทำให้เข้มแข็งขึ้นมาก)
ขณะที่การเปิดโอกาสให้ผู้มีเงินออม สามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ก็เป็นส่วนที่สะท้อนว่า ระบบการเงินของไทยไม่ได้เผชิญกับปัญหาด้านสภาพคล่องเหมือนกับวิกฤติปี พ.ศ. 2540 ด้วยเช่นกัน
-การลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองยุคโควิด ผลกระทบต่อย้ายเงินฝาก น่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีสถานะสภาพคล่องและเงินทุนที่แข็งแกร่ง
จึงทำให้ยังเป็นตัวเลือกที่ดีในการฝากเงินและสร้างความมั่นใจให้ผู้ฝากว่า จะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน พร้อมผลตอบแทนในอัตราที่กำหนด
ขณะที่การฝากเงินที่ธนาคารพาณิชย์ตอบโจทย์มากกว่าเรื่องของความมั่นคง นั่นคือ ความสะดวกสบายในการใช้บริการทางการเงินอื่น ๆ ทั้งโอนเงิน ชำระเงิน รวมถึงเป็นรากฐานข้อมูลการทำธุรกรรม เพื่อใช้บริการสินเชื่อในอนาคต หรือเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ
เมื่อย้อนกลับมาดูสถานะทางการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในไทยและสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) พบว่า มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมสูงถึง 20.12% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ประมาณ 11-12% รวมถึงมีการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (% LCR) ที่ 195.14% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ปัจจุบันของทางการที่ 100%
ขณะที่ แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิดที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ด้วยสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติปี 2540 อย่างมีนัยสำคัญ
ประกอบกับมีเกณฑ์การผ่อนปรนจากทางการ อาทิ ความยืดหยุ่นในการจัดชั้นหนี้ และการกันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพในระดับสูงถึง 1.49 เท่าของเอ็นพีแอล
ดังนั้น จึงทำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนได้ โดยที่ยังทำหน้าที่เกื้อกูลช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และทำหน้าที่ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่ยังมีธุรกิจอยู่ ประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ สามารถส่งมอบเงินฝากพร้อมผลตอบแทนคืนให้ผู้ฝากได้ทุกบาททุกสตางค์
-แม้จะลดวงเงินฝากคุ้มครองมาที่ 1 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน แต่ความครอบคลุมจำนวนบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ยังสูงถึงกว่า 98.0%
โดยครอบคลุมผู้ฝากเงิน 82.1 ล้านราย (ข้อมูลจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก) สอดคล้องกับหลักการของการคุ้มครองเงินฝากที่ให้สวัสดิการดูแลพื้นฐานกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ขณะที่หากมองในมิติเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ ความคุ้มครองจะครอบคลุมประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 1 ใน 5 ของเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์รวมทั้งหมด
เนื่องจากประกอบด้วยบัญชีบุคคลรายย่อยที่มีฐานะ บัญชีเงินฝากกลุ่มสถาบัน หรือธุรกิจ ที่มีมูลค่าเงินฝากต่อบัญชีจำนวนมากกว่า 1 ล้านบาท ในสัดส่วนอีก 4 ใน 5 ที่เหลือ ซึ่งมองว่ากลุ่มผู้ฝากเหล่านี้มีความรู้เพียงพอที่จะดูแลความมั่งคั่งของตนให้ปลอดภัยได้ รับความเสี่ยงจากการออม/ลงทุนได้มากกว่า
รวมถึงใช้บัญชีเงินฝากเพื่อเป็นทางผ่านของธุรกรรมการเงิน เพื่อธุรกิจมากกว่าการออมเพื่อได้รับความคุ้มครองเงินต้นและดอกเบี้ย
-สำหรับแนวโน้มเงินฝากในระยะที่เหลือของปี 2564 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มเติบโตในกรอบ 3.5-4.5%
เทียบกับอัตราการเติบโตที่ประมาณ 3.6% YoY ณ เดือนมิถุนายน 2564 โดยสาเหตุที่ทำให้เงินฝากเติบโตในกรอบจำกัด มาจาก คือ
1) ผลกระทบจากโควิดหลายระลอก ซึ่งคาดว่าจะกระทบอัตราการขยายตัวของเงินฝากในกลุ่มเงินฝากที่มียอดคงค้างต่อบัญชีไม่สูงมากนัก
เนื่องจากรายได้ที่ลดลง/หายไป ทำให้ภาระหนี้เพิ่ม และอาจต้องพึ่งเงินออมในการประคองการใช้จ่ายจำเป็น
2) การกระจายการลงทุนไปสู่ช่องทางอื่น ๆ ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งน่าจะอธิบายอัตราการเติบโตของเงินฝากในกลุ่มที่มียอดคงค้างต่อบัญชีในระดับสูง ที่เห็นการเติบโตชะลอลงค่อนข้างชัดเจน
นอกเหนือไปจากการที่ผู้ฝากกลุ่มนี้ ซึ่งคงปะปนด้วยผู้ที่มีธุรกิจส่วนตัว จะนำเงินออมไปประคองธุรกิจบางส่วนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ระยะถัดไป หากเทียบกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนั้น การที่มีรัฐช่วยสร้างความมั่นใจในการคุ้มครองเงินฝาก อาจช่วยเพิ่มโอกาสและขีดความสามารถของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการดึงเงินฝากมูลค่าสูง และจากกลุ่มผู้ฝากที่พึ่งเงินออมเพื่อเกษียญอายุ
อันอาจมีผลต่อการกำหนดอัตราผลตอบแทนเงินฝาก ของธนาคารพาณิชย์สำหรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าว ให้แข่งขันได้มากขึ้น
นอกเหนือจากนั้น คาดว่าธนาคารพาณิชย์คงเน้นการนำเสนอบริการที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุน ทั้งที่ผ่านผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าและระบบอัตโนมัติในลักษณะ Application หรือ Robo Advisors เพื่อเปิดทางเลือกของการลงทุนที่หลากหลาย
ซึ่งรวมถึงทางเลือกที่ดูแลเงินต้นและสร้างผลตอบแทนที่แข่งขันได้ กับเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์มากขึ้น
เพื่อรักษาฐานลูกค้าเงินฝากส่วนที่เกินจากความคุ้มครองขั้นต่ำด้วย
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.