คนกรุงเทพฯ ปรับพฤติกรรมรับค่าครองชีพพุ่ง คนที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน เผชิญค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น 20% - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

คนกรุงเทพฯ ปรับพฤติกรรมรับค่าครองชีพพุ่ง คนที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน เผชิญค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น 20% - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

18 ม.ค. 2022
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ Omicron ที่มีผลต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจและกำลังซื้อของครัวเรือน
สวนทางกับค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นราคาเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะราคาเนื้อสุกร ที่ปรับตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี
ราคาไข่ไก่, ราคาน้ำมันพืช, ราคาพลังงาน ตลอดจนราคาค่าสาธารณูปโภค (ค่าไฟฟ้า)
อย่างไรก็ดี ภาครัฐได้ทยอยออกมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของผู้บริโภคบ้างแล้ว เช่น มาตรการตรึงราคาสินค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นราคาแก๊สหุงต้ม, ราคาเนื้อไก่, โครงการหมูธงฟ้า
แต่ถึงกระนั้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีความกังวลและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายหมวดค่าอาหาร, ค่าสาธารณูปโภค (ค่าไฟฟ้า) และค่าเดินทาง (ค่าน้ำมันและค่าขนส่งสาธารณะ)
ซึ่งจากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า คนกรุงเทพฯ ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มรายได้อื่น
ซึ่งราว 36% มองว่า มีค่าใช้จ่ายปรับเพิ่มขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงปลายปีก่อนที่จะมีการปรับขึ้นราคาสินค้าต่าง ๆ
ขณะที่คนกรุงเทพฯ ที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง จะได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า โดยเปรียบเทียบและสามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้มากกว่า
ทั้งนี้ ค่าครองชีพที่ทยอยปรับสูงขึ้น ส่งผลให้ในระยะสั้น คนกรุงเทพฯ วางแผนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยจะเลือกใช้จ่ายเฉพาะที่จำเป็น ลดหรือชะลอการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าคงทน รวมไปถึงลดกิจกรรมสังสรรค์
โดยธุรกิจที่คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบหนัก น่าจะเป็นกลุ่มสินค้าแฟชั่น (เสื้อผ้า, กระเป๋า, รองเท้า), รถยนต์, อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ยิ่งจะกดดันการฟื้นตัวของธุรกิจดังกล่าวในระยะถัดไป
นอกจากนี้ คนกรุงเทพฯ ยังเปลี่ยนไปซื้อสินค้าที่ใช้ทดแทนกันได้ในราคาที่ถูกลง เช่น สินค้ามือสอง, สินค้าแบรนด์รอง (House brand), สินค้าในช่วงจัดโปรโมชัน รวมถึงการเปลี่ยนไปบริโภคเนื้อสัตว์หรืออาหารที่มีราคาถูกลง เป็นต้น
ซึ่งถือเป็นโอกาสของสินค้าแบรนด์รอง ที่จะเข้ามาทำการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคต่อไป
และเมื่อพิจารณาถึงความคาดหวังของคนกรุงเทพฯ ต่อหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการเข้ามาช่วยเหลือและแก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน 3 อันดับแรก คือ
1)ควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในหลายประเภทมากขึ้น เช่น ราคาอาหารสดประเภทอื่น ๆ เช่น อาหารทะเล, ของใช้ในชีวิตประจำวัน และราคาพลังงาน
2)เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ
3)ตลอดจนต้องการให้ขยายมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพด้านสาธารณูปโภค (ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา) ที่สิ้นสุดลงตั้งแต่ ก.ย 2564
ขณะที่ในส่วนของภาคเอกชน ผู้บริโภคต้องการให้ผู้ประกอบการชะลอการปรับขึ้นราคาสินค้า หรือลดปริมาณสินค้า (Resize) แทนการปรับขึ้นราคาหากจำเป็น และเพิ่มการจัดโปรโมชันกิจกรรมลดราคาสินค้าให้ถี่ขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจำเป็น เช่น อาหารปรุงสำเร็จ, ของใช้ส่วนตัว
ในระยะข้างหน้า คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังคงมองว่าสถานการณ์ค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้น น่าจะยังไม่คลี่คลา ยในระยะสั้น และกว่า 50% คาดว่าปัญหาดังกล่าวจะลากยาวมากกว่า 1 ปี ซึ่งส่วนใหญ่มีความสามารถในการรับมืออยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงน้อย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า นอกเหนือจากการออกมาตรการเฉพาะหน้าที่จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้บริโภคในระยะสั้นแล้ว เช่น การตรึงและควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็น, การจัดโปรโมชันลดราคาสินค้า
ภาครัฐและเอกชน ควรเร่งมือและร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปทานขาดแคลน (Supply Shortage) ให้ตรงจุด
ตลอดจนควรเพิ่มโอกาสการแข่งขันของผู้ประกอบการรายย่อยในตลาดควบคู่ไปด้วย เช่น
การเพิ่มปริมาณสุกรในตลาดผ่านการสนับสนุนเงินทุนและสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรรายย่อยกลับมาเลี้ยงสุกรมากขึ้น
การใช้มาตรการควบคุมและเฝ้าระวังโรดระบาดในสัตว์ต่าง ๆ อย่างเข้มงวด
การเร่งแก้ไขปัญหาราคาวัตถุดิบและค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ภาคธุรกิจ จะต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับตัว และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนให้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคและสร้างโอกาสการเติบโตในระยะถัดไป เช่น
ลดปริมาณหรือขนาดของสินค้า (Resize) แทนการปรับขึ้นราคา
การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการสต็อกสินค้า
รวมถึงการนำฐานข้อมูลลูกค้า (Big data) มาช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อความต้องการได้แม่นยำมากขึ้น
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.