กรณีศึกษา การขาดทุนน้อยลง ที่น่าเป็นห่วงของ นกแอร์
10 มี.ค. 2020
หลายคนอาจเห็นข่าวสายการบิน นกแอร์ กำลังขาดทุนน้อยลง
โดยในปีที่ผ่านมาขาดทุน 1,714 ล้านบาท ลดลง 13.5% หากเทียบกับปีก่อน
โดยในปีที่ผ่านมาขาดทุน 1,714 ล้านบาท ลดลง 13.5% หากเทียบกับปีก่อน
มองดูผิวเผินอาจคิดว่า นกแอร์ น่าจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามภาพรวมอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะค่าโดยสารซึ่งเป็นรายได้หลัก 80%
โดยเฉพาะค่าโดยสารซึ่งเป็นรายได้หลัก 80%
หากเราดูข้อมูลเชิงลึก ก็จะรู้ว่ากำลังคิดผิดถนัดเพราะในปี 2562 ที่ผ่านมา
นกแอร์ มีจำนวนผู้โดยสาร 8.25 ล้านคน ลดลง 7%
ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ รายได้จากค่าโดยสารอยู่ที่ 11,228 ล้านบาท ลดลงไป 6.5%
นกแอร์ มีจำนวนผู้โดยสาร 8.25 ล้านคน ลดลง 7%
ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ รายได้จากค่าโดยสารอยู่ที่ 11,228 ล้านบาท ลดลงไป 6.5%
จะเห็นว่านกแอร์เลือกที่จะมีรายได้น้อยลง สวนอุตสาหกรรม
ทำไม นกแอร์ ถึงทำเช่นนั้น
ทำไม นกแอร์ ถึงทำเช่นนั้น
เหตุผลเพราะ นกแอร์ รู้ว่าการแข่งขันในธุรกิจสายการบินเป็น “สงครามราคา”
ใครราคาถูกกว่าก็มักจะเป็นตัวเลือกอันดับแรกของลูกค้า
อีกทั้ งแข่งลดราคาไปแข่งลดราคามา ผู้โดยสารก็ไม่ได้เต็มเครื่อง เหมือนอย่างในอดีต
เพราะแต่ละเส้นทางการบิน ลูกค้าก็มีตัวเลือกมากขึ้น
ใครราคาถูกกว่าก็มักจะเป็นตัวเลือกอันดับแรกของลูกค้า
อีกทั้ งแข่งลดราคาไปแข่งลดราคามา ผู้โดยสารก็ไม่ได้เต็มเครื่อง เหมือนอย่างในอดีต
เพราะแต่ละเส้นทางการบิน ลูกค้าก็มีตัวเลือกมากขึ้น
เมื่อเห็นสภาพธุรกิจ
นกแอร์ ก็เลือกจะลดต้นทุนหลายๆ อย่าง เพื่อไม่ต้องแบกรับต้นทุนหนักๆ เหมือนในอดีต
นกแอร์ ก็เลือกจะลดต้นทุนหลายๆ อย่าง เพื่อไม่ต้องแบกรับต้นทุนหนักๆ เหมือนในอดีต
ลดจำนวนเครื่องบินจาก 25 ลำ เหลือ 24 ลำ
ซึ่งทำให้ช่วยลดค่าอะไหล่ในการซ่อมเครื่องบินไปในตัว
ขณะเดียวกันก็ยังควบคุมต้นทุนบริการลูกค้าในภาคพื้นดิน
ไม่ให้มีค่าใช้จ่ายสูงเหมือนในอดีต
ซึ่งทำให้ช่วยลดค่าอะไหล่ในการซ่อมเครื่องบินไปในตัว
ขณะเดียวกันก็ยังควบคุมต้นทุนบริการลูกค้าในภาคพื้นดิน
ไม่ให้มีค่าใช้จ่ายสูงเหมือนในอดีต
ที่น่าสนใจ นกแอร์ก็พยายามที่จะบินและลงจอดให้ตรงต่อเวลามากขึ้น
เพราะรู้ว่านอกจากจะเป็น “จุดอ่อน” ที่ทำให้ตัวเองสูญเสียลูกค้าไปไม่น้อยแล้วนั้น
การดีเลย์เป็นเวลานานและบ่อยครั้ง ก็ต้องควักเงินเสียค่าปรับและค่าชดเชยให้แก่ลูกค้าด้วย
เพราะรู้ว่านอกจากจะเป็น “จุดอ่อน” ที่ทำให้ตัวเองสูญเสียลูกค้าไปไม่น้อยแล้วนั้น
การดีเลย์เป็นเวลานานและบ่อยครั้ง ก็ต้องควักเงินเสียค่าปรับและค่าชดเชยให้แก่ลูกค้าด้วย
และดูเหมือน นกแอร์ รวมถึงสายการบินอื่นๆ จะโชคดีไม่น้อยเมื่อราคาน้ำมันสำหรับเครื่องบิน
ในปี 2562 มีราคาเฉลี่ย 77.73 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล
ซึ่งหากเทียบกับปี 2561 มีราคาถูกลง 9%
ในปี 2562 มีราคาเฉลี่ย 77.73 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล
ซึ่งหากเทียบกับปี 2561 มีราคาถูกลง 9%
ผลลัพธ์ของการรัดเข็มขัดรอบด้านและต้นทุนน้ำมันที่ถูกลง
ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจของ นกแอร์ ลดลงไปมากพอสมควร
โดยมีต้นทุนรวมทั้งหมด 14,422 ล้านบาท
ขณะที่ในปี 2561 อยู่ที่ 16,289 ล้านบาท ลดลงไป 11%
ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจของ นกแอร์ ลดลงไปมากพอสมควร
โดยมีต้นทุนรวมทั้งหมด 14,422 ล้านบาท
ขณะที่ในปี 2561 อยู่ที่ 16,289 ล้านบาท ลดลงไป 11%
คำถามแล้ว นกแอร์ จะลดต้นทุนตัวเองต่อไปเรื่อยๆ อีกนานไหม
เพราะอย่าลืมว่าวิธีนี้ หากใช้เกินความพอดี
เพราะอย่าลืมว่าวิธีนี้ หากใช้เกินความพอดี
อาจทำให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจในบริการของนกแอร์
พร้อม ปันใจ ไปตีตั๋วโดยสารสายการบินคู่แข่ง อย่างไม่มีความลังเล
พร้อม ปันใจ ไปตีตั๋วโดยสารสายการบินคู่แข่ง อย่างไม่มีความลังเล
และผลลัพธ์ที่ได้จากแผนการฟื้นฟูธุรกิจในครั้งนี้
ก็คือแม้ นกแอร์ จะมีต้นทุนลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่รายได้ก็อาจจะลดน้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน
ก็คือแม้ นกแอร์ จะมีต้นทุนลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่รายได้ก็อาจจะลดน้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน
สุดท้ายก็ไม่รู้ว่า นกแอร์ จะมีกำไรในการทำธุรกิจวันไหน
ยิ่งเมื่อมาดูหนี้สินที่ นกแอร์ ก่อไว้เป็นกองใหญ่มูลค่า 18,639 ล้านบาท
ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 9% หากเทียบกับปีที่แล้ว
ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงว่า นกแอร์ จะหลุดพ้นจากน่านฟ้าที่เต็มไปด้วยมรสุม
ซึ่งก็ยังไม่รู้ ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร
ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 9% หากเทียบกับปีที่แล้ว
ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงว่า นกแอร์ จะหลุดพ้นจากน่านฟ้าที่เต็มไปด้วยมรสุม
ซึ่งก็ยังไม่รู้ ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร
อ้างอิง : คำอธิบายและการวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน ปี 2562 (เฉพาะสายการบิน นกแอร์ ไม่รวม นกสกู๊ต)