วิเคราะห์กลยุทธ์ Roblox แพลตฟอร์มเกม เล่นฟรี แต่รายได้แสนล้าน ที่กำลังฮิตในกลุ่ม Gen Z

หากพูดถึง “Roblox” สำหรับผู้ใหญ่คงรู้สึกเฉย ๆ แต่ถ้าใครเป็นเด็ก ๆ และวัยรุ่น คงรู้ดีว่า Roblox เป็นเกมสุดฮิต ที่มียอดดาวน์โหลดกว่า 1,300 ล้านครั้ง จากทุกแพลตฟอร์มรวมกัน

Roblox ไม่ได้เป็นเพียงแค่เกมธรรมดา แต่เป็นแพลตฟอร์มเกมออนไลน์ ที่ให้ผู้เล่นสามารถสร้างและเล่นเกมของตัวเอง และเกมที่ผู้อื่นสร้างขึ้นมาได้

รวมถึงแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน แบบไม่มีข้อจำกัด บนรูปแบบ 3D Multiplayer Open World ที่สร้างขึ้นเองจากผู้เล่นแต่ละคน

ที่น่าสนใจคือ ทั้งปี 2024 ที่ผ่านมา Roblox กวาดรายได้ถึง 118,000 ล้านบาท

แล้วทำไม Roblox ถึงกลายเป็นบริษัทเกมที่ทำรายได้ได้มาก และเป็นเกมฮิตของเด็ก วัยรุ่น ในยุคนี้ ?
MarketThink วิเคราะห์กลยุทธ์ Roblox มาให้อ่านกัน

1. Premium Membership ถ้ายอมจ่ายเงิน ก็ได้สิทธิพิเศษ เหนือผู้เล่นคนอื่น

เกมทุกเกม จะมีระบบเติมเงินเพื่อให้ผู้เล่นสามารถซื้อไอเทม หรือซื้อสิทธิพิเศษภายในเกม เพื่อให้เอาชนะผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้

ซึ่งเกม Roblox ก็เช่นกัน ที่มีสิทธิพิเศษเพื่อดึงดูดผู้เล่นให้เติมเงินอยู่หลายรูปแบบ เช่น

- เติมเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้า และไอเทมต่าง ๆ ภายในเกม
- เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว สร้างห้องเพื่อเล่นกับเพื่อน ๆ
- เอฟเฟกต์พิเศษติดตัว อย่างการเดิน วิ่ง และกระโดด ที่ไม่ซ้ำกับผู้เล่นคนอื่น ๆ
- หากสมัคร Roblox Premium Membership รายเดือน จะได้รับสิทธิพิเศษ เช่น Robux ฟรีทุกเดือน

ซึ่ง Robux ก็คือค่าเงินสำหรับซื้อไอเทมภายในเกม รวมถึงใช้จ่ายเพื่อปลดล็อกความสามารถ และการแลกเปลี่ยนไอเทม

โดยตัวอย่างข้างต้นนี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในมุมมองของการทำธุรกิจ จริง ๆ แล้วก็คือ โมเดลการหารายได้แบบ Freemium ที่เปิดให้ผู้เล่นเล่นเกมได้ฟรี

แต่ถ้าอยากได้สิทธิพิเศษอื่น ๆ ก็ต้องยอมเสียเงินเพิ่ม ซึ่งแน่นอนว่า มีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่ยินดีจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อให้ได้ไอเทมเด็ด ๆ หรือเสื้อผ้าสวย ๆ ตามที่ต้องการ

นอกจากนี้ อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เห็นได้ชัด ๆ ก็คือ โมเดลการหารายได้แบบ Subscription หรือระบบการสมัครสมาชิกรายเดือน ที่ช่วยให้ธุรกิจมีรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Revenue) และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้

ซึ่งผู้เล่น Roblox ที่สมัครบริการรายเดือน จะเข้ามาเล่นเกมบ่อยขึ้น เนื่องจากมีสิทธิพิเศษที่แสดงให้เห็นว่าตนเองสามารถเอาชนะผู้เล่นคนอื่นที่ไม่ได้สมัครบริการได้

2. Collaboration กับแบรนด์ต่าง ๆ ทั้งมินิเกม และไอเทมของตัวละคร

Roblox มีกลยุทธ์ Collaboration ที่ร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ ทั้งในด้านการออกแบบมินิเกม การออกแบบไอเทมสำหรับแต่งตัวละคร การจัดอิเวนต์ในเกมตามธีมของแบรนด์ต่าง ๆ

ตัวอย่างเช่น

- ร่วมมือกับ Nike สร้าง NIKELAND ซึ่งเป็น Micro‑Metaverse ที่จะมีกีฬาประเภทต่าง ๆ ให้เล่น เช่น
วิ่งข้ามราว ฟุตบอล บาสเกตบอล และไอเทมแต่งตัวจากแบรนด์ Nike เสมือนจริงภายในเกม

- ร่วมมือกับ Tommy Hilfiger ที่จัดอิเวนต์ พร้อมขายไอเทมพิเศษต่าง ๆ ภายในเกม

นอกจากนี้ก็ยังมีแบรนด์อื่น ๆ ที่คอลแลบกับ Roblox อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น McDonald’s, Samsung, Spotify และอีกมากมาย

ซึ่งกลยุทธ์ Collaboration เป็นกลยุทธ์การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ มีข้อดีคือการสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น จากการผสานข้อดีและจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์เข้าด้วยกัน

ลองคิดภาพตามง่าย ๆ หาก Roblox ไม่ได้ร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ Roblox ก็จะไม่สามารถออกไอเทมใหม่ ๆ ที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้เล่นเติมเงินได้

เพราะไอเทมเสื้อผ้าแฟชั่นจากแบรนด์ต่าง ๆ ที่อยู่ในเกม Roblox ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม

แต่ยังเป็นการทำให้ผู้เล่นสามารถแสดงออกถึงตัวตนเสมือนจริงของตัวเอง ที่อยู่ภายในเกม Roblox ได้ เหมือนสังคมขนาดย่อม ๆ สังคมหนึ่ง

ในขณะเดียวกัน แบรนด์ที่ร่วมคอลแลบกับ Roblox ก็จะได้รับทั้ง การรับรู้ (Brand Awareness) การสร้างภาพลักษณ์ให้มีความทันสมัย รวมทั้งยังได้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่อาจยังไม่เคยเข้าถึงได้อีกด้วย

3. แบ่งรายได้ให้กับครีเอเตอร์ผู้สร้างมินิเกมสูงสุดถึง 70%

อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ในเกม Roblox ผู้ใช้งานจะสามารถสร้างห้องเล่นเกมในรูปแบบต่าง ๆ ได้

เช่น ห้องเล่นเกมผจญภัย, ห้องเล่นเกมทำอาหาร, ห้องเล่นเกมแข่งรถ และครีเอเตอร์ที่สร้างห้องเล่นเกม สามารถกำหนดราคาในการเข้ามาร่วมเล่นมินิเกมได้

โดย Roblox จะแบ่งรายได้ที่ได้จากการสร้างเกม ได้แก่

- แบ่งรายได้ 50% สำหรับมินิเกมที่สร้างรายได้ 9.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 320 บาท)

- แบ่งรายได้ 60% สำหรับมินิเกมที่สร้างรายได้ 29.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 970 บาท)

- แบ่งรายได้ 70% สำหรับมินิเกมที่สร้างรายได้ 49.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,640 บาท)

หากมองในมุมธุรกิจก็คือ กลยุทธ์ Revenue Sharing รูปแบบหนึ่ง คล้าย ๆ กับโมเดลการแบ่งสัดส่วนรายได้แบบ Affiliate Marketing ที่ครีเอเตอร์สามารถปักตะกร้าสินค้า และเมื่อขายสินค้านั้นได้ ก็จะได้รับค่าคอมมิชชัน เป็นการตอบแทน

โดยข้อดีหลัก ๆ หากเลือกปรับใช้กลยุทธ์นี้กับธุรกิจ ได้แก่

- สามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องขายสินค้าด้วยตัวเอง เหมือนมีนักขายอิสระพร้อมขายสินค้าให้แบรนด์

- ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ เพราะการที่มีคนช่วยขาย ก็เหมือนกับมีคนคอยช่วยรีวิว และบอกข้อดีของสินค้าให้แบรนด์ไปในตัว

- เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับแบรนด์เล็ก ๆ สามารถปรับใช้ได้ เพราะไม่ต้องลงทุนจ้างทีมงาน

- สามารถเก็บข้อมูล และวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าได้อย่างละเอียด

4. สร้างไอเทม Limited Edition เพื่อกระตุ้นความน่าสนใจ

เชื่อว่าทุกคนอาจรู้กันดีอยู่แล้วว่าสินค้าที่ได้รับความนิยม มักจะขายหมดอย่างรวดเร็ว จนถูกนำมาขายต่อในราคาที่แพงกว่าเดิม

ยกตัวอย่างเช่น POP MART และรองเท้า Nike เช่นเดียวกันกับไอเทมต่าง ๆ ในเกม Roblox

หากไอเทมไหนเป็น Limited Edition ไม่ว่าจะสร้างโดย Official หรือผู้เล่นสร้างเอง ถ้าได้รับความนิยมก็จะถูกนำไปขายต่อ ในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม

โดยราคาไอเทมที่แพงที่สุดในเกม Roblox อยู่ที่ 999,999,999 Robux หรืออาจคิดเป็นมูลค่าที่สูงถึง 113 ล้านบาทเลยทีเดียว

ซึ่งนอกจากครีเอเตอร์ที่เป็นผู้สร้างไอเทม จะได้ส่วนแบ่งหากสร้างไอเทมแล้วขายได้แล้ว เงินส่วนหนึ่งก็จะถูกแบ่งเข้า Roblox ด้วยนั่นเอง

ทั้งหมดนี้คือ กลยุทธ์น่าสนใจ ที่อยู่เบื้องหลัง Roblox ที่มีรายได้กว่า 118,000 ล้านบาท เกมยอดฮิต ของเด็ก ๆ และวัยรุ่นในยุคนี้ ที่แบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำไปปรับใช้ได้ ทั้งในด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์

อ้างอิง :
-https://www.ixiegaming.com/blog/roblox-game-monetization-guide-everything-you-need-to-know/?utm
-https://devforum.roblox.com/t/earn-a-higher-revenue-share-for-999-paid-access-experiences/3294010?utm
-https://youtu.be/o6vZ5nKAB8k?si=UHKekiSIxj7ZkX6n
-https://finance.yahoo.com/quote/RBLX/financials/